Saturday, July 21, 2007

โครงการเสื้อผ้ามือสอง มูลนิธิกระจกเงา


กลุ่มศิลปวัฒนธรรมกระจกเงา เป็นองค์กรพัฒนาเอกชน ในสังกัดมูลนิธิโกมลคีมทอง ดำเนินงานในโครงการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริม และพัฒนาชุมชนชาวเขาแบบบูรณาการ ในเขตพื้นที่ตำบลแม่ยาว จ.เชียงราย

กองทุนเสื้อผ้ามือสอง คือการรับบริจาคสิ่งของบริจาค เพื่อนำมาหมุนเวียนกลับคืนสู่ชุมชน และกลุ่มคนผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ เช่น คนชราที่ถูกทอดทิ้ง คนพิการ และร่วมกันระดมทุน รับของบริจาค เพื่อนำมาหมุนเวียนเป็นเงินกองทุนเพื่อเข้าไปช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสกองทุนเสื้อผ้ามือสอง เป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือ ผู้ด้อยโอกาสในชุมชน หรือเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นจากภัยทางธรรมชาติ โดยนำรายได้จากการขายเสื้อผ้ามือสองมาจัดตั้งเป็นกองทุนข้าวสาร เพื่อนำเข้าไปสนับสนุน และช่วยเหลือให้กับกลุ่มคนชรา กลุ่มผู้ทุพพลภาพที่ถูกทอดทิ้ง และเหตุฉุกเฉินพิเศษ เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม ฯลฯ

ที่ผ่านมา ทางกลุ่มฯกระจกเงาได้รับของบริจาคเสื้อผ้า ผ้าห่ม เสื้อกันหนาว ชุดนักเรียนมือสอง อุปกรณ์การเรียน จากบุคคลทั่วประเทศเป็นจำนวนมาก และได้นำเฉพาะในส่วนของเสื้อผ้ามือสอง และถุงเท้ามาจัดจำหน่าย ในส่วนของชุดนักเรียนมือสอง อุปกรณ์การเรียน ถุงเท้านักเรียน ได้นำไปมอบให้กับโรงเรียนต่างๆในตำบลแม่ยาวดังนั้น เพื่อให้เกิดกิจกรรมการมีส่วนร่วมของเยาวชน และชุมชนจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการสร้างกิจกรรม การจำหน่ายเสื้อผ้ามือสองภายในชุมชน และชุมชนใกล้เคียง และยังผลให้เกิดรายได้ที่จะนำไปใช้ประโยชน์ภายในชุมชนต่างๆ ให้กับกลุ่มคนผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ หรือมีความจำเป็นอย่างแท้จริงในแต่ละชุมชน เช่น กลุ่มคนชรา กลุ่มคนพิการที่ถูกทอดทิ้งในแต่ละชุมชนในพื้นที่ตำบลแม่ยาวทั้งหมด จึงได้จัดตั้ง " กองทุนเสื้อผ้ามือสอง " ขึ้นมา
โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้
1. เพื่อนำรายได้จาการขายเสื้อผ้ามือสอง จัดตั้งเป็นกองทุนข้าวสารเพื่อช่วยเหลือคนชรา และคนทุพพลภาพที่ถูกทอดทิ้ง
2. เพื่อจัดตั้งเป็นกองทุนฉุกเฉิน ช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่างๆ
3. เพื่อเสริมรายได้ ทักษะ และแนวความคิดให้กับกลุ่มเยาวชน ที่เข้ามาช่วยงาน
4. เพื่อให้ชุมชนได้ลดค่าใช้จ่ายในการซื้อเสื้อผ้าที่จำเป็น ได้เสื้อผ้าในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด



โครงการกองทุนเสื้อผ้ามือสอง ดำเนินงานภายใตั " มูลนิธิกระจกเงา "
106 หมู่ 1 บ้านห้วยขม ต.แม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงราย 57100 โทร.053-737412-3


E-mail: ann@bannok.com MSN : nanay_jung@hotmail.com

รายละเอียดที่ www.bannok.com













Friday, July 20, 2007

" "สอนตัวเองให้สนุก" "

วันนี้มีกิจกรรมแปลกใหม่มาแนะนำกันเช่นเคย "สอนตัวเองให้สนุก" กิจกรรมที่นอกจากจะมีประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันของเราแล้ว ยังสนุกสะใจ(ที่ได้สอนตัวเอง) อีกด้วย เทคนิคการสอนตนเองนี้เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบให้คนอื่นมาสอน ในเมื่อเราไม่ชอบให้ใครมาสอน เราก็หัดสอนตัวเองก็แล้วกัน ชีวิตจะได้ก้าวหน้าไม่หยุดนิ่ง หรือ ถอยหลังลงคลอง

กลวิธีพูดสอนตัวเองนี้ เป็นกุศโลบายที่คุณสามารถใช้เป็นอุปกรณ์ในการพัฒนาปรับปรุงชีวิตของคุณเองให้มีความสมบูรณ์ลงตัวมากขึ้น วิธีสอนตัวเองนี้มีหลายสไตล์หลายรูปแบบ ขอเชิญเลือกนำไปใช้ได้ตามความชอบใจ ดังต่อไปนี้

๑.สอนให้ใฝ่สร้างสรรค์
พูดปลุกเร้าใจให้เกิดความรักในสิ่งที่ดีงาม จนเกิดความรู้สึกอยากลงมือทำ อยากสร้างสรรค์
ยกตัวอย่าง คุณป๊อก ไม่อยากจะทำงานดูแลบ้านช่องตามที่คุณแม่สั่งไว้เท่าไหร่นัก "โด่..งานของผู้หญิงมาให้เราทำได้ไง " ใจของคุณป๊อกคิดอย่างนี้ แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวคุณแม่กลับมาจะดุเอา คุณป๊อกจึงลงมือสอนตนเองให้มีความคิดใฝ่สร้างสรรค์ทันที โดยพูดกับตัวเองว่า

" ป๊อก..นายคิดดูนะ ทำความสะอาดบ้านนี่ดีจะตายไป บ้านจะได้สะอาดสะอ้าน คุณแม่กลับมาเห็นก็จะสบายใจ นี่ถ้าเราตั้งใจจัดข้าวของให้มันดี ๆ อะไร ๆ มันก็จะดูเรียบร้อยไปหมด หาก็ง่าย หายก็รู้ ปัดกวาดบ้าน ถูพื้นห้องให้มันสะอาด บ้านของเราก็จะน่าอยู่ อย่ากระนั้นเลย เรารีบลงมือทำเลยดีกว่า.. "

สอนให้ตัวเองเห็นคุณค่า จนคิดอยากจะทำแบบนี้แหละ ที่เขาเรียกว่า สอนให้ใฝ่สร้างสรรค์ คือ พูดสอนตัวเองให้เห็นคุณค่าของงานจนรู้สึกคันไม้คันมืออยากจะลงมือทำ
( ประยุกต์วิธีคิดมาจากหลักธรรมข้อ "ฉันทะ" องค์ประกอบข้อที่หนึ่งในหลักธรรมชุด"อิทธิบาทสี่"ในพระไตรปิฎก )

๒.ว่าให้อาย
พูดติเตียนตัวเองให้เกิดความรู้สึกละอายใจในกระทำที่ไม่ดีงาม สอนแบบนี้สนุกดีครับ ปรกติธรรมดาถ้ามีคนอื่นมาว่าเรา เราจะโกรธ แต่พอเราลองมาดุด่าตัวเอง กลับไม่โกรธแฮะ..แปลกดี

ยกตัวอย่าง คุณเฉียบ เอาเปรียบเพื่อน ไม่ยอมไปช่วยงานส่วนรวมตามที่นัดหมายตกลงกันไว้ คุณเฉียบแกเป็นคนชอบเอาเปรียบเพื่อนอย่างนี้มานานแล้ว จนเพื่อน ๆ เขาระอาใจกันหมด อย่าว่าแต่เพื่อน ๆ เลย ตัวคุณเฉียบเองแกก็เบื่อตัวเองอยู่เหมือนกัน ว่าทำไมนิสัยตูถึงแก้ไม่หายสักทีนะ ว่าแล้วแกก็ใช้วิธีสอนตัวเองแบบ "ว่าให้อาย" มาจัดการทันที แกจึงพูดกับตัวเองว่า

" เฉียบ..นายนี่มันทำตัวใช้ไม่ได้เลย น่าละอายที่สุด เดินผ้าหลุดกลางตลาดก็ยังไม่น่าอายเท่านี้ นายเอาเปรียบเพื่อนอย่างนี้ได้อย่างไร นายตกลงกับเพื่อนไว้แล้วทำไมไม่ไปตามนัด แถมยังมาทำหน้าทะเล้น ยิ้มระรื่นอยู่คนเดียวอีก รู้จักละอายใจบ้างสิ โตจนป่านนี้แล้ว แต่ทำตัวยังกับเด็ก เพื่อนๆ เขาเซ็งนายเต็มทีแล้วนะจะบอกให้ "
สารพัดคำพูดที่สรรหามา ถ้าว่าให้อายได้ ก็ลงมือจัดการเลยครับ ความรู้สึกละอายที่เราปลุกเร้าขึ้นมานี้ ในภายหลังจะสามารถช่วยคุ้มครองตัวเราไม่ให้กระทำผิดลงไปอีก เป็นการช่วยให้ตัวเราสามารถแก้ไขพฤติกรรมของเราให้ดีขึ้นด้วยตัวของเราเอง
(ประยุกต์วิธีคิดมาจากหลักธรรม "หิริ" องค์ประกอบข้อที่หนึ่งของธรรมะชุดคุ้มครองโลก จากพระไตรปิฎก)

๓. ขู่ให้กลัว พูดให้เกิดความรู้สึกเกรงกลัวภัย อันเป็นผลจากการกระทำอันประมาทของตนเอง หรือ จากการกระทำที่ผิดศีลธรรมของตนเอง ว่าตนเองจะต้องประสบผลร้ายในอนาคตอย่างไรบ้าง
ยกตัวอย่าง คุณจวบเป็นคนรักเพื่อนมาก วันหนึ่งเพื่อนรักมาชวนคุณจวบให้ไปเที่ยวโสเภณีด้วยกัน คุณจวบรู้สึกคล้อยตามเพื่อน เพราะเป็นคนรักเพื่อน แต่อีกใจหนึ่งก็ยังลังเลอยู่ คิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะดีแน่ แกจึงรีบเข้าไปนั่งคนเดียวเงียบ ๆ พูดกับตัวเองว่า

" นี่เรากำลังจะทำอะไรลงไปเนี่ย เราแน่ใจแล้วหรือว่าเราจะปลอดภัย การที่เราเข้าไปเที่ยวสถานที่เช่นนั้น เราอาจจะเจอคนพาลเกเร คนขี้เหล้าเมายา มาทำอันตรายเราก็ได้ และ การเที่ยวไปหมกมุ่นมัวเมาอย่างนั้น สักวันหนึ่งมันก็ต้องพลาดพลั้งติดโรคร้ายแรงถึงตายเข้าจนได้ เราจะมายอมเสียอนาคต เสียเงินทอง เสียชื่อเสียงเพียงเพื่อแลกกับการสนุกสนานเพียงชั่ววูบเดียวเช่นนี้หรือ มันช่างไม่คุ้มค่าเสียเลย" วิธีสอนตัวเองแบบ "ขู่ให้กลัว" นี้ คุณจะพูดยกแม่น้ำทั้งห้าอย่างไรก็ได้ ขอเพียงสามารถอธิบายให้ตัวเองยอมรับเหตุผล จนเกิดความกลัวภัยอันจะเกิดขึ้นจากการกระทำไม่ดีของตนเองเป็นใช้ได้
(ประยุกต์วิธีคิดมาจากหลักธรรม "โอตตัปปะ" องค์ประกอบข้อที่สอง ของชุดธรรมะคุ้มครองโลก จากพระไตรปิฎก)

๔.ปลุกเร้าให้เพียรสู้
พูดปลุกเร้าใจตนเองให้เกิดความเพียร ไม่ท้อถอยต่ออุปสรรคปัญหาทั้งปวง โดยไม่คิดพึ่งพาอาศัยใคร แต่จะยืนหยัดเพียรสู้ด้วยกำลังสติปัญญาของตนเอง

ยกตัวอย่าง คุณติ๋มทำงานธนาคารมานาน แต่ต่อมาภายหลังเศรษฐกิจตกต่ำ ธนาคารจำเป็นจะต้องปลดพนักงานออก คุณติ๋มผู้โชคร้ายเป็นผู้หนึ่งที่จะต้องถูกปลดออกจากงานด้วย ถึงแม้เธอจะเกิดความทุกข์ใจ และ เศร้าใจ แต่เธอก็พยายามสอนตัวเองว่า..

" ติ๋ม..เธอสู้ต่อไป เธอไม่ต้องกลัว คนอื่น ๆ ที่เขาโชคร้ายกว่าเธอยังมีอีกเยอะแยะ บางคนเขาไม่มีเสื้อผ้าจะใส่ ไม่มีข้าวจะกิน เธอยังสบายกว่าเขาไม่รู้กี่เท่าเธอรู้ไหม ติ๋ม..เธอทำได้อยู่แล้ว 0อุปสรรคความยากลำบากทั้งหลายพวกนี้มันมาพิสูจน์ตัวเธอว่า เธอเป็นนักสู้หรือเปล่า มันต้องเจออะไรยากๆ อย่างนี้สิ เธอถึงจะแกร่ง เธอมั่นใจได้เลยนะว่า ตราบใดที่เธอยังใจสู้ไม่ถอย เธอจะต้องฟื้นตัวได้อย่างแน่นอน"

สอนตัวเองให้ใจสู้แบบนี้แหละครับ คือวิธีคิดพึ่งตนเองแบบ"ชาวพุทธ" ที่แท้จริง คุณลองอ่านนิทานชาดกเรื่อง "พระมหาชนก " ดูก็ได้ นิทานเรื่องนี้จะสื่อให้คุณรู้เลยว่า"ความเพียรของมนุษย์นั้นแม้แต่เทวดายังต้องยอมรับนับถือ" ก้อดูสิ..ขนาดเรือพระมหาชนกแตกอับปางอยู่กลางมหาสมุทร ท่านยังคิดสู้ว่ายน้ำขึ้นบก ทั้ง ๆ ที่มองไม่เห็นฝั่ง นี้เป็นตัวอย่างของความเพียรที่เห็นได้อย่างชัดเจน
( ประยุกต์วิธีคิดมาจากหลักธรรมข้อ "วิริยะ" องค์ประกอบข้อที่สองในหลักธรรมชุด"อิทธิบาทสี่"ในพระไตรปิฎก )
ขอยกตัวอย่างเทคนิคสอนตัวเองมาให้ดูสัก ๔ แบบก่อน ทีนี้ถ้าคุณจับหลักได้แล้ว คุณก็จะสามารถที่นำไปประยุกต์เป็นวิธีสอนตนเองแบบอื่นๆ ได้ด้วยตนเอง อนึ่ง การสอนตนเองบ่อย ๆ เช่นนี้ นอกจากคุณจะได้มีการพัฒนาปรับปรุงตนให้ดียิ่งขึ้นแล้ว ในที่สุดคุณก็จะกลายเป็นคนที่รู้จักรับฟังคำติติงชี้แนะจากผู้อื่น คือ เป็นคนพูดง่ายไม่ปิดหูปิดตาตัวเองอีกต่อไป

Monday, July 16, 2007

ขั้นตอนการปฏิบัติศาสนพิธีถวายสังฆทาน...ขั้นตอนการถวายภัตตาหารเป็นสังฆทาน...ขั้นตอนถวายเพล


บูชาพระรัตนตรัย (พิธีกรนั่งคุกเข่านำ)
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ. (กราบ)
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ.(กราบ)
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ.(กราบ)
อาราธนาศีล ๕ (พิธีกรนั่งคุกเข่านำ)
มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ.
ทุติยัมปิ มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ.
ตติยัมปิ มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ.
อาราธนาอุโบสถศีล (พิธีกรนั่งคุกเข่านำ) กรณีวันพระที่รักษาศีลอุโบสถ
มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง อุโปสะถัง ยาจามะ
มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ
อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง อุโปสะถัง ยาจามะ
มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ
อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง อุโปสะถัง ยาจามะ

สรรเสริญพระพุทธเจ้า (พระสวดนำ) (ผู้ร่วมงานนั่งพับเพียบ)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ.
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ.
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ.

ไตรสรณคมณ์ (พระสวดนำ)
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ.
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ.
ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.
ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ.
ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ.
ตติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.
ตติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ.
ตติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ.
(พระนำ)...ติสะระณะคะมะนัง นิฏฐิตัง.
(รับว่า)...อามะ ภันเต.

สมาทานศีล๕ (พระสวดนำ)
ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
กาเมสุ มิจฉาจารา
เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
มุสาวาทา
เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.

สรุปศีล ๕ (พระสวดนำ)
อิมานิ ปัญจะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ.
อิมานิ ปัญจะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ.
อิมานิ ปัญจะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ.
(พระนำ) อิมานิ ปัญจะ สิกขาปะทานิ สีเลนะ สุคะติง ยันติ. (รับว่า... สาธุ)
สีเลนะ โภคะสัมปทา. (รับว่า... สาธุ)

สีเลนะ นิพพุติงยันติ ตัสมา สีลัง วิโสธะเย. (รับว่า... สาธุ)
สมาทานศีลอุโบสถ (พระสวดนำ) กรณีวันพระที่รักษาศีลอุโบสถ
ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
อะพรหมะจะริยา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
มุสาวาทา
เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
วิกาละโภชะนา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
นัจจะคีตะวาทิตะวิสุกะทัสสะนา มาลาคันธะวิเลปะนะทาระณะ มัณฑะนะวิภูสะนัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
อุจจาสะยะนะมะหาสะยะนา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
อธิษฐานรักษาศีลอุโบสถ (พระสวดนำ) กรณีวันพระที่รักษาศีลอุโบสถ
อิมัง อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง พุทธะปัญญัตตัง อุโปสะถัง อิมัญจะ รัตติง อิมัญจะ ทิวะสัง
สัมมะเทวะ อะภิรักขิตุง สะมาทิยามิ.
ข้าพเจ้าสมาทานอุโบสถที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ อันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ
ดังได้สมทานมาแล้วนี้ จะรักษาไว้ให้ดี ไม่ให้ขาด ไม่ให้ทำลาย วันหนึ่ง คืนหนึ่ง ณ เวลานี้
สรุปศีลอุโบสถ (พระสวดนำ) กรณีวันพระที่รักษาศีลอุโบสถอิมานิ อัฏฐะ สิกขาปะทานิ อัชเชกัง รัตตินทิวัง อุโปสะถะวะเสนะ สาธุกัง รักขิตัพพานิ.
(รับว่า... อามะภันเต)
อิมานิ อัฏฐะ สิกขาปะทานิ สีเลนะ สุคะติง ยันติ. (รับว่า... สาธุ)
สีเลนะ โภคะสัมปทา. (รับว่า... สาธุ)

สีเลนะ นิพพุติงยันติ ตัสมา สีลัง วิโสธะเย. (รับว่า... สาธุ)
อาราธนาพระปริตร (พิธีกรนั่งคุกเข่านำ)
วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา
สัพพะทุกขะวินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง
วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา
สัพพะภะยะวินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง
วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา
สัพพะโรคะวินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง
ชุมนุมเทวดา (พิธีกรนั่งคุกเข่านำ)
สะมันตา จักกะวาเฬสุ อัตราคัจฉันตุ เทวะตา
สัทธัมมัง มุนิราชัสสะ สุณันตุ สัคคะโมกขะทังฯ
สัคเค กาเม จะ รูเป คิริสิขะระตะเฏ จันตะลิกเข วิมาเน
ทีเป รัฏเฐ จะ คาเม ตะรุวะนะคะหะเน เคหะวัตถุมหิ เขตเต
ภุมมา จายันตุ เทวา ชะละถะละวิสะเม ยักขะคันธัพพะนาคา
ติฏฐันตา สันติเก ยัง มุนิวะระวะจะนัง สาธะโว เม สุณันตุฯ
ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา
ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา
ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา
พระสวดพระปริตร (ทำน้ำมนต์)


เจ้าภาพประพรมน้ำมนต์ (พระสวดชยันโต)
ผู้ร่วมงานอธิษฐานขอ..........

(พิธีกรนั่งคุกเข่านำ)
หันทะ มะยัง พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปุพพะภาคะนะมะการัง กะโรมะ เสฯ

สรรเสริญพระพุทธเจ้า (พระสวดนำ) (ผู้ร่วมรับ)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ.
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ.
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ.
คำถวายสังฆทาน (พิธีกรนั่งคุกเข่านำ)
อิมานิ มะยัง ภันเต, ภัตตานิ, สะปะริวารานิ,ภิกขุสังฆัสสะ, โอโณชะยามะ,
สาธุ โน ภันเต,ภิกขุสังโฆ,อิมานิ,ภัตตานิ,สะปะริวารานิ,ปะฏิคคันหาตุ,อัมหากัง,
ทีฆะรัตตัง,หิตายะ,สุขายะ.
(ในหัตถบาสใช้ อิมานิ นอกหัตถบาสใช้ เอตานิ)
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายภัตตาหารกับทั้งบริวารเหล่านี้
แด่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับภัตตาหารกับทั้งบริวารเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย
เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนาน เทอญฯ
(พระทุกรูปรับสาธุพร้อมกัน)

คำอปโลกน์สังฆทาน (พระสวด)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

ยัคเฆ ภันเต สังโฆ ชานาตุ ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ขอพระสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า
ภัตตาหารพร้อมทั้งของบริวาร ที่สมควรแจกกันได้นี้ ทายกทายิกาผู้มีจิตศรัทธา
น้อมนำมาถวายเป็นสังฆทานแด่สงฆ์ อันว่าสังฆทานนี้ย่อมมีอานิสงส์อันยิ่งใหญ่
ซึ่งสมเด็จพระพุทธองค์ มิได้เจาะจงแก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง เพราะเป็นของให้แก่สงฆ์
ทั่งสังฆมณฑล พระพุทธองค์ตรัสว่าให้แจกกันตามบรรดาที่มาถึง
บัดนี้ข้าพเจ้าฯ สมมุติตนเองเป็นผู้แจกภัตตาหารและของบริวารของสงฆ์
พระสงฆ์ทั้งหลายเห็นสมควรหรือไม่สมควร ถ้าเห็นว่าเป็นการไม่สมควรแล้วไซร์
ขอจงทักท้วงขึ้นในท่ามกลางสงฆ์อย่าได้เกรงใจ ถ้าเห็นว่าเป็นการสมควรแล้ว
ก็จงเป็นผู้นิ่งอยู่ ( นิ่งอยู่ ) บัดนี้พระสงฆ์ทั้งหลายเป็นผู้นิ่งอยู่ ข้าพเจ้าจักรู้ได้ว่าเป็น
การเห็นสมควรแล้ว จะได้ทำการแจกของสงฆ์ต่อไป ณ กาลบัดนี้
อะยัง ปะฐะมะภาโค เถรัสสะ ( มะหาเถรัสสะ ) ปาปุณาติ
ส่วนที่หนึ่งถึงแก่พระเถระผู้ใหญ่ที่อยู่เหนือข้าพเจ้า
อะวะเสสา ภาคา อัมหากัง ปาปุณันติ ส่วนที่เหลือจากพระเถระผู้ใหญ่แล้ว
ย่อมถึงแก่ข้าพเจ้า ถึงพระลำดับต่อๆไปตามบรรดาที่มาถึงพร้อมกันทุกๆ รูป
จนถึงทายกทายิกา และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอให้พระสงฆ์ทั้งหลาย
จงให้สัททะสัญญาสาธุการขึ้นพร้อมกัน ณ.กาลบัดนี้เทอญ


พระบังสุกุลตาย
อนิจจา วะตะ สังขารา อุปปาทะวะยะธัมมิโน
อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ เตสัง วูปะสะโม สุโขฯ
พระบังสุกุลเป็น
อะจิรัง วะตะยัง กาโย ปะฐะวิง อะธิเสสสะติ
ฉุฑโฑ อะเปตะวิญญาโณ นิรัตถังวะ กะลิงคะรังฯ

คำปวารณากัปปิยภัณฑ์ (พิธีกรนั่งคุกเข่านำ)
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายกัปปิยภัณฑ์ อันแทนปัจจัย ๔ แด่พระคุณเจ้า
เป็นมูลค่า.............................บาท กัปปิยภัณฑ์จำนวนนี้ จะมอบไว้กับไวยาวัจกรผู้ปฏิบัติพระคุณเจ้า
เมื่อพระคุณเจ้าประสงค์สิ่งหนึ่งสิ่งใด ในปัจจัย๔ อันสมควรแก่สมณบริโภค
ขอได้โปรดเรียกร้องเอาจากไวยาวัจกร ตามที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ปวารณามาแล้วนี้เทอญ.
พระสวดให้พร
ยะถา.....อุทิศส่วนบุญให้คนตาย
สัพพี.....แบ่งบุญให้คนเป็น
กราบลาพระรัตนตรัย (พิธีกรนั่งคุกเข่านำ) อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ. (กราบ)
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ.(กราบ)
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ.(กราบ)
เริ่มถวายภัตตาหารพระ
อาหารคาว--> ขนมหวาน-->ผลไม้--> บริวารสังฆทาน

แนะนำบทเพลงสำหรับผ่อนคลายความเครียด และทำสมาธิ


บทเพลงบรรเลง โดย จำรัส เศวตาภรณ์
ที่ได้รับคัดเลือกประกอบในพระราชพิธี ฉลองสิริราชสมบัติ ครบรอบ 60 ปี
ดนตรีเพื่อการทำสมาธิ
Meditation Music - ซีดี cd จำรัส เศวตาภรณ์- นิพพาน
รายละเอียดที่ www.greenmusic.org
เพราะมาก ขอบอก ขายให้ซะเลย

Saturday, July 14, 2007

ทำอย่างไรจึงจะหายกลัวผี ( ๓ วิธี )

ใครบ้างที่ไม่เชื่อเรื่องผี ยกมือขึ้น ! ถ้าถามอย่างนี้อาจจะมีคนยกมือกันเยอะแยะ แต่ถ้าถามว่าใคร บ้างที่จะกล้าอาสาไปเดินในป่าช้าคนเดียวตอนดึก ๆ หรืออาสาไปนอนเล่นในห้องดับจิตหรือในโกดังเก็บศพสักคืนหนึ่ง คิดว่าถ้าถามแบบนี้คนที่ยกมือบอกว่าไม่เชื่อเรื่องผีตะกี้นี้คงจะชักมือหดมือลงเป็นแถว ๆ นี้เป็นเพราะสาเหตุใด ตอบได้ง่าย ๆ ก็เป็นเพราะ "กลัวผี " นั่นเอง

ความเชื่อเรื่อง "ผี" เป็นความเชื่อของคนไทยมีมาก่อนที่พุทธศาสนาจะเข้ามาสู่สยามประเทศของเรา เสียอีก เป็นความเชื่อที่สืบทอดกันมานานนับพันปี ความกลัวผีจึงเป็นสิ่งที่ฝังรากลึกลงอยู่ในกมลสันดานของคนไทย ยากยิ่ง ที่จะถอดถอนความเชื่อนี้ออกไปได้ แม้เราจะชอบอ้างตัวเองว่าอยู่เสมอ ๆ ว่าเป็นคนที่อยู่ยุควิทยาศาสตร์ ก็ตาม

ความกลัวผีเป็นอันตรายต่อสุขภาพจิต บางคนกลัวมาก ๆ อาจจะถึงกับช็อคตายไปเลยก็ได้ ถ้าจะให้บอกกับตัวเองว่าเราไม่เชื่อเรื่องผี ก็ไม่ไหว เพราะทั้งที่ปากบอกว่าไม่เชื่อ ๆ แต่ใจมันก็ยังหวาดกลัวอยู่ดี เพราะความคิดนี้มันฝังตัวอยู่ในสัญชาติญาณกลัวตายของเรา พูดง่าย ๆ คือ ตราบใดที่ เรายังกลัวตาย ตราบนั้นเราก็ยังคงต้องกลัวผีอยู่นั่นเอง แล้วทีนี้เราจะทำอย่างไรดี

พุทธศาสนาเข้าใจถึงจิตใจของปุถุชนดี ท่านจึงสอนวิธีคิดชนิดที่สามารถไปสลายความกลัวผีให้หมดลงไปได้ คือทำให้ความกลัวผีลดน้อยลงไป หรือ ถึงกับเลิกกลัวผีไปเลยก็ยังได้ โดยไม่ต้องจำเป็นต้อง ไปเลิกเชื่อเรื่องผีแต่อย่างใด ดังจะขอยกวิธีคิด ๓ วิธีมาอธิบาย ดังต่อไปนี้

๑. คิดปรารถนาดีต่อชีวิตทั้งปวง (เมตตา) วิธีคิดนี้ง่ายมาก คือสร้างความรักความปรารถนาดีเผื่อแผ่ไปให้แก่ ทุก ๆ ชีวิต โดยจินตนาการให้ความรู้สึก "รัก" นี้แผ่ไพศาลไปทั่วฟ้า มหาสมุทร หรือ ถ้าเป็นสมัยใหม่นี้ ก็ต้องแผ่ไปให้ไกลทั่วแกแล็คซี่ ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ ความคิด "เมตตา"เช่นนี้ถ้าคิดได้อย่างต่อเนื่องจนเป็นสมาธิ ก็จะมีพลังมหาศาล สามารถที่จะสลายความกลัวให้หมดไป

คนที่มีเมตตามาก ๆ สามารถที่จะสร้างอิทธิพลในทางบวกให้แก่ผี เช่นแบ่งปันความดีงาม ให้ผีสางนางไม้พลอยได้รับส่วนบุญกุศลอีกด้วย นี้แสดงถึงอำนาจของเมตตาที่มีอำนาจเหนือผีนั่นเอง กล่าวโดยสรุป คนที่มีเจริญเมตตาอยู่ในใจตลอดเวลา จะมีสมาธิดีมาก จนอำนาจภายนอกไม่ สามารถที่จะมาครอบงำหรือหลอกหลอนได้แต่อย่างไร ไปไหนมาไหนสบายใจ ไม่ต้องสะดุ้งกลัว

วิธีคิดสร้างเมตตา (ในกรณีต้องไปอยู่ในสถานที่น่ากลัว) "ขอให้ทุก ๆ ชีวิต ณ ที่แห่งนี้จงมีความสุข ขอให้สัตว์เล็กสัตว์น้อย ณ ที่แห่งนี้จงสุขกายสุขใจ ขอให้ความรักความปรารถนาดีของฉันจงมีแก่ทุกชีวิต ขอให้ความรักของฉันจงเผื่อแผ่ไปทั่วสกลจักรวาล อย่างไม่มีขอบเขตไม่มีประมาณ ขอให้ต้นไม้ใบหญ้า ทุกต้นทุกใบจงมีความสันติสุข ขอให้ความเป็นมิตรของฉันจงมีแก่ทุก ๆ ชีวิต ณ ที่แห่งนี้ ขอให้ท่านสุขกาย สุขใจ มีสุขภาพจิตใจที่แจ่มใส ขอเผื่อแผ่ความดีงามที่ฉันได้ทำไว้ มอบให้แก่ท่านทั้งหลาย ขอให้ชีวิตทีเศร้าหมองทั้งหลายจงสดใสร่าเริง ขอให้ทุกชีวิตจงมีความสุขใจโดยพลันเทอญ ฯลฯ "

วิธีคิดให้เกิดเมตตานี้ สามารถจะปรุงแต่งเป็นความคิดต่าง ๆ นานาได้ตามความปรารถนา เพียงแต่ว่า ให้อยู่ในประเด็นหลักของเมตตา คือ แผ่ความรักปรารถนาดีไปยังสรรพสัตว์อย่างไม่มีขอบเขตไม่มีประมาณ เท่านั้นเอง

อนึ่ง คนที่ชอบฝันร้าย หากรู้จักแผ่เมตตาก่อนนอน ก็จะฝันดี มีความสุขทั้งตอนหลับและตื่น หาก ปฏิบัติได้เป็นประจำก็ดีเยี่ยมเลยครับ
(อ่าน กรณียเมตตสูตร สุตตันต.เล่ม ๑๗ ขุททกนิกาย ข้อ ๑๐ หน้า ๑๑ )

๒. ความเชื่อมั่นเคารพในความดีงาม (ศรัทธา) วิธีนี้ ชาวพุทธที่มีความศรัทธาอยู่แล้วจะได้เปรียบสักหน่อย เพราะความ"ศรัทธา" เป็นพลังความคิดอีกชนิดหนึ่งที่สามารถสลายความกลัวให้หมดลงไปได้เช่นเดียวกัน หากท่านศึกษาในประวัติศาสตร์ของศาสนาต่าง ๆ ท่านจะเห็นว่าคนที่มีความศรัทธาในศาสนามาก ๆ เขาจะไม่กลัวแม้แต่ความตาย ความศรัทธาหรือ ความรู้สึกประทับใจ เชื่อมั่น ซาบซึ้งใจ นี้ในทางพุทธศาสนาถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นในขั้นต้นของการปฏิบัติธรรม ศรัทธาทำหน้าที่สร้างพลังขับเคลื่อนไปสู่กระบวนการทางปัญญา คือ ก่อนที่ปัญญาจะวิ่งไปได้ บางทีต้องอาศัย พลังศรัทธาคือความเคารพเชื่อมั่นในความดีงามนี้ทำหน้าที่เป็นตัวสร้างช่องทางนำร่องให้ความคิดเดินไปได้ ไม่อย่างนั้นมันคิดไม่ค่อยจะไปเหมือนกัน

ยกตัวอย่าง ชาวพุทธในสมัยโบราณก่อนที่เขาจะตัดสินใจจะทำอะไร เขาก็ตั้ง นโม..ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า อันเป็นสัญลักษณ์ของความดีงาม ความบริสุทธิ์ ความมีปัญญา เพื่อให้จิตใจผ่องใส เมื่อจิตใจดีแล้วเขาก็อาศัยพลังศรัทธานั้นแหละขับเคลื่อนความคิดเชิงเหตุผลต่อไป จนกลายเป็น พลังปัญญาด้วยตัวของมันเอง (ปัญญาพละ) ที่สามารถพึ่งตนเองได้อย่างแท้จริงต่อไป นี้เป็นจุดมุ่ง หมายของศรัทธาในทางพุทธศาสนา

ผลพลอยได้ของ "ศรัทธา" คือ ช่วยทำไม่ให้กลัวผีได้ด้วยครับ อย่างที่บอกแล้วว่า คนที่ศรัทธามาก ๆ นี่ แม้ "ตาย"ยังไม่กลัวเลย แล้วจะไปกลัวผีได้อย่างไร ดังนั้นหากท่านเกิดความกลัวขึ้น ณ ที่ใด ให้สร้างศรัทธา ขึ้นในใจ ความกลัวผีก็จะหายไปในบัดดล

วิธีคิดสร้างศรัทธา (เวลาต้องไปอยู่ในที่น่าหวาดกลัว ) ให้หลับตา นึกมโนภาพว่าเรากำลังกราบพระพุทธองค์อยู่ตรงหน้าที่ประทับ พร้อมทั้งระลึกถึงความบริสุทธิ์ของพระองค์ ที่ห่างไกลจากความโลภ โกรธ หลงทั้งมวล (วิสุทธิคุณ)
ระลึกถึงความเมตตาอันไม่มีประมาณของพระพุทธองค์ที่รักมวลมนุษย์ชาติดังมารดารักบุตร (เมตตาคุณ) ระลึกถึงปัญญาอันสว่างไสวของพระพุทธองค์ที่ทรงรู้แจ้งสรรพสิ่งในสกลจักรวาล (ปัญญาคุณ) พร้อม ๆ กับ ภาวนา คำว่า " นะโมตัสสะ ภควะโต อรหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ ไปเรื่อย ๆ ให้นึกวาดภาพว่าตัวเองก้มกราบพระพุทธองค์ พร้อมทั้งระลึกถึงพระคุณทั้งสามประการ อยู่เช่นนี้ตลอดเวลา จิตใจของท่านจะเกิดความร่าเริงแจ่มใส ปีติยินดี ความกลัวต่าง ๆ ไม่สามารถที่จะเข้ามากล้ำกรายจิตใจอย่างแน่ นอน
(อ่าน ธชัคคสูตรที่ ๓ สุตตันต.เล่ม ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ข้อ ๘๖๓ )

๓. คิดใฝ่รู้ใฝ่ศึกษา (ฉันทะ) อันนี้ใช้พลังปัญญาล้วน ๆ เลย คือความเชื่อมั่นในเหตุผล ในความจริง จิตใฝ่รู้นี้ มีพลังมหาศาล ที่ทำให้เราเกิดความเชื่อมั่นในตนเองจนไม่หวาดหวั่นอะไร คนประเภทนี้ผีหลอกไม่ไหวหรอกครับ เพราะจิตมีกำลังมาก (มีสมาธิ) ดังนั้นคนที่มีความใฝ่รู้จริง ๆ จึงมักจะไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องผี และ ไม่กลัวผี คนประเภทนี้ถ้าผีตัวไหนขืนถลำตัวไปหลอกเข้า ผีตัวนั้นคงเป็นต้องโดนวิ่งไล่จับพิสูจน์เป็นแน่ เพราะคนใฝ่รู้เขาจะเข้าไปหาถึงตัวเลย เพื่อจะดูซิว่าผีมันมีสิวกี่เม็ด, เท้าไม่ติดพื้นจริงหรือเปล่า, เสื้อผ้าผีมีเนื้อผ้าเป็นอย่างไร, ผีทำไมต้องพูดช้า ๆ ยานคาง , ทำไมผีถึงชอบทำหน้าเละ ๆ ฯลฯ แล้วผีที่ไหนจะยอมให้พิสูจน์ล่ะครับ คงต้องหนีลูกเดียว เพราะ ผีมันก็ดีแต่เก่งแค่ทำผลุบ ๆ โผล่ ๆ หลอก ๆ หลอน ๆ แต่คนขวัญอ่อนเท่านั้นเอง เจอคนจริงแบบนี้ ผีก็ไม่ไหวเหมือนกันล่ะครับ ..สวัสดี
(อ่าน ความรู้ในแง่มุมต่าง ๆ ของ "ปัญญา" ที่มีอยู่มากมายมหาศาลในพระไตรปิฎก )

วิธีลดความอ้วนแบบพุทธ

ปัจจุบันนี้วงการแพทย์ถือว่าความอ้วนเป็นโรคชนิดหนึ่งซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพและจะก่อเกิดโรคอันตรายอื่น ๆ ตามมา อาทิ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ฯลฯ ในพระไตรปิฎกท่านก็กล่าวไว้เช่นเดียวกันว่าร่างกายอ้วนเกินไปเป็นสิ่งไม่ดี เพราะทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัดอุ้ยอ้าย อายุสั้น สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคอ้วนตามหลักพุทธศาสนาท่านว่าเกิดจากความไม่รู้จักประมาณในการบริโภค ดังนั้นในวันนี้เราจึงขอเสนอเทคนิคการควบคุมอาหารแบบพุทธอันอาจจะช่วยให้ ท่านลดความอ้วนอย่างได้ผลดียิ่งขึ้น

๑. พิจารณาถึงผลดีของการควบคุมอาหาร ในสมัยพุทธกาล ยังมีพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่งชื่อพระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าแผ่นดินองค์นี้ทรงมีพระวรกายที่อ้วนมาก เพราะทรงเสวยพระกระยาหารจุเกินไป ความอ้วนทำให้พระองค์ไปไหนมาไหนไม่ค่อยจะสะดวก วันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงสังเกตเห็นความอุ้ยอ้ายอึดอัดในพระวรกายของพระเจ้าปเสนทิโกศล จึงทรงตรัสพระคาถาว่า "บุคคลผู้มีสติอยู่เสมอ รู้ประมาณในอาหารที่ได้มา จะมีเวทนาเบาบาง แก่ช้า มีอายุยืนนาน " (สุตตันต.เล่ม ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ข้อ ๓๖๕ หน้า ๑๑๖ )

พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงให้พระราชนัดดา (หลาน) ของพระองค์คอยว่าคาถานี้ทุกครั้งที่พระองค์กำลังจะเสวยพระกระยาหาร ปรากฏว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลสามารถลดความอ้วนได้สำเร็จเพราะคาถานี้เอง

คุณสามารถที่จะใช้วิธีแบบพระเจ้าปเสนทิโกศลนี้ได้เช่นเดียวกัน โดยคุณอาจจะเขียนข้อความพรรณนาถึงผลดีของการบริโภคแต่พอดีว่ามีผลดีต่อสุขภาพร่างกายเพียงไร จากนั้นเวลาจะรับประทานอาหารคราวใดก็ให้หยิบกระดาษโน้ตนี้ขึ้นมาอ่านไปพลางรับประทานอาหารไปพลาง

วิธีการนี้จะทำให้คุณมีสติยั้งคิดในการรับประทานอาหารตลอดเวลา ทำให้สามารถควบคุมการบริโภคได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

๒ . เห็นความทุกข์ยากของเพื่อนร่วมโลก วิธีคิดแบบนี้นอกจากจะฝึกลดความต้องการบริโภคแล้ว ยังเป็นการ ฝึกจิตใจของตนเองให้เกิดความเมตตากรุณาอีกด้วยครับ วิธีคิดนี้ได้มาจากพระไตรปิฎก มีพระสูตรหนึ่งที่สอนให้เราไม่ควรบริโภคอาหารด้วยความสนุกสนานเมามัน แต่ควรบริโภคด้วยความรู้สึกเห็นคุณค่าของอาหารที่ช่วยให้เรามีชีวิตรอดต่อไป เพื่อพัฒนาตนให้พ้นจากสังสารวัฏอันยาวใกล โดยให้คำนึงถึงความทุกข์ยากของสรรพสัตว์ที่ต้องยอมเสียสละชีวิตเพื่อให้เราอยู่รอด อุปมาพ่อแม่จำใจต้องรับประทานเนื้อบุตรของตนเองกลางทะเลทรายเพื่อเอาชีวิตรอดเดินทางต่อไป ( สุตตันต.เล่ม๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ข้อ ๒๔๐ หน้า ๑๐๘)

จากหลักการที่กล่าวมาข้างต้น เราสามารถที่จะนำมาประยุกต์เป็นวิธีคิดลดความต้องการบริโภคของเรา แบบง่าย ๆ คือเมื่อใดก็ตามที่เราเห็นโฆษณาหรือภาพของอาหารน่ากินต่าง ๆ ที่มีอยู่ในท้องตลาด ให้คุณมีสติตื่นตัวอยู่เสมอ ไม่ปล่อยให้ภาพของสิ่งของที่น่ากินต่าง ๆ เหล่านี้มากระตุ้นจิตใจของคุณให้เกิดความต้องการบริโภค พร้อมกันนั้นให้ใช้พลังจินตนาการของคุณสร้างความคิด "เชื่อมโยง" มองให้เห็นภาพความทุกข์ยากของสรรพสัตว์ที่อยู่เบื้องหลังภาพอาหารอันน่าเอร็ดอร่อยต่าง ๆ นี้เป็นการภาวนาตามหลักพุทธศาสนา คือสร้างความเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย และด้วยคุณธรรมที่เกิดขึ้นนี้เองจะบรรเทาความรู้สึกต้องการบริโภคให้น้อยลงไป แต่อย่าลืมว่าคุณต้องมีสติตั้งมั่นอยู่เสมอ เพราะระบบบริโภคนิยมที่อยู่รอบ ๆ ตัวคุณนั้น พร้อมที่จะปรุงแต่งจิตใจของคุณให้ต้อง การบริโภคอยู่ตลอดเวลา

ยกตัวอย่าง
เห็นร้านไก่ทอดชื่อดัง อึม..ม ชักหิวแล้วสิเรา
คิดในใจ เห็นภาพไก่น้อยน่าสงสารถูกขังอยู่ในกรง ถูกป้อนสารเคมี แถมกลางคืนก็ไม่ให้ได้หลับนอน ด้วยการเปิดไฟสว่างไว้ทั้งวันทั้งคืน เพื่อเร่งให้โตเร็ว ๆ โถ..น่าสงสารจริง ๆ เจ้าไก่น้อย

เห็นใส้กรอกน่าอร่อย หู..ว ใส้กรอกทอดหอมกรุ่นบนเตา
คิดในใจ เห็นภาพเจ้าหมูนอนคุดคู้อยู่ในกรงเหล็กอันร้อนระอุ เจ้าคงจะไม่รู้สินะว่าเขาจะพาเจ้าไปฆ่าเพื่อนำไป เป็นอาหารของมนุษย์

เห็นช็อคโกแล็ตน่ากิน หีบห่อน่ารัก คิกขุ น่าขบเคี้ยว
คิดในใจ เห็นคนในชนบทต้องลำบากตากแดดตัดอ้อยเพื่อมาทำน้ำตาลใส่ช็อคโกแล็ต ชาวชนบทเหล่านี้นอกจากจะถูกกดขี่ค่าแรงแล้ว บางทีก็ถูกมอมเมายาเสพติดอีกด้วย โถ..น่าสงสารจริงๆ ถัดจากนั้นก็ให้นึกเห็นโคนมที่ถูกรีดนมจนเจ็บระบมเพื่อเอานมไปเป็นส่วนผสมกับโกโก้เพื่อผลิตเป็นช็อคโกแล็ต ฯลฯ

ไม่ยากเลยใช่ใหม เพียงแต่เราจะต้องมีสติคิดให้ทันกับสิ่งที่มากระทบสายตา ซึ่งสามารถพบเห็นได้อยู่ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาในโทรทัศน์ อาหารน่ากินต่าง ๆ ในซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารต่าง ๆ ฯลฯ การปรุงแต่งความคิดเพื่อให้เกิดความเมตตากรุณานี้จะเป็นคุณค่าทางอารมณ์ใหม่ที่มาทดแทนความรู้สึกต้องการบริโภคที่คุณถูกกระตุ้นอยู่ตลอดเวลาจากสิ่งรอบ ๆ ตัว วิธีคิดเช่นนี้จะช่วยให้ความต้องการบริโภคของคุณลดลงไปเองโดยธรรมชาติ แน่นอนครับ เมื่อความต้องการบริโภคลดลง ความอ้วนก็ย่อมลดลงตามไปด้วยเช่นเดียวกัน

๓. ฝึกจิตคิดเห็นสิ่งที่เป็นปฏิกูลในขณะบริโภคอาหาร ตามปรกติปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปเมื่อรับประทานอาหารที่มีรสชาติอร่อย จิตใจของเขาก็จะรู้สึกปลาบปลื้มยินดีกับรสชาติของอาหารนั้น ทำให้รู้สึกอยากจะรับประทานเรื่อยๆ ไปจนกว่าจะแน่นท้องรับประทานไม่ไหว หรือ คิดติดใจว่านี้คืออาหารโปรดของเรา ที่จะต้องกลับมารับประทานบ่อย ๆ อะไรทำนองนั้น นี่คือความคิดปรุงแต่งที่เป็นไปเองตามธรรมชาติของปุถุชนที่ไม่ได้รับการศึกษา

วิธีการต่อไปนี้จึงเป็นท่าไม้ตายในการทำลายความยึดติดในรสชาติของอาหาร นั่นคือ ฝึกจิตคิดเห็นสิ่งที่เป็นปฏิกูลในขณะบริโภคอาหาร ด้วยการนึกเห็นสภาพของอาหารว่าเป็นปฏิกูลในขณะที่เราขบเคี้ยวอาหารอยู่ในปาก เช่น อาจจะนึกจินตนาการให้เห็นภาพอาหารที่เราขบเคี้ยวอยู่นี้อยู่ในใจว่ามีสภาพเป็น อาจม หรือ อาเจียน หรือนึกให้เห็นอาหารนั้นอยู่ในสภาพที่เน่าบูดมีแมลงวันตอมก็ได้ ฯลฯ คือ จะนึกปรุงแต่งอย่างไรก็ได้ ขอเพียงให้เห็นภาพความเป็นปฏิกูลของอาหารในขณะที่เราขบเคี้ยวอาหารอยู่เป็นใช้ได้ เป็นวิธีคิดที่มีชื่อเรียกเป็นภาษาพระว่า "อาหาเรปฏิกูลสัญญา" เป็นเทคนิคการคิดที่ทำให้จิตใจของเราคลายจากความยึดติดในรสชาติของอาหาร ถอยกลับคืนสู่ความเป็นปรกติ ทำให้เกิดการบริโภคอย่างพอดี ไม่บริโภคมากจนเกินไป และ สามารถควบคุมจิตใจของตนเองไม่ให้ไปเกี่ยวข้องกับอาหารโปรดแต่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยไม่มีความจำเป็นต้องไปพึ่งอาศัยยาแต่อย่างใด

อ้อ.! คุณไม่ต้องกลัวว่าการนีกเช่นนั้นจะทำให้คุณผะอืดผะอม กระอักกระอ่วน หรือ รับประทานอาหารไม่ลงนะครับ เพราะนี้เป็นเพียงแค่การนึกภาพในใจไม่ใช่การเห็นของจริงแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม หากคุณพิจารณาความเป็นปฏิกูลของอาหารตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง คุณจะได้สัมผัสความรู้สึกสงบสันติสุขในขณะรับประทานอาหาร เป็นความสุขทางใจที่คุณอาจจะไม่เคยได้พบมาก่อนในชีวิต นี้เป็นเทคนิคกระทำในใจอันแยบคาย(โยนิโสมนสิการ) ในทางพุทธศาสนาที่จะทำให้จิตใจของท่านหลุดพ้นจากอำนาจราคะที่เกิดจากรสชาติอาหารนั่นเอง

อนึ่ง อันที่จริงแล้วการควบคุมอาหาร หรือ การลดความอ้วน นี้เป็นเพียงแค่ผลพลอยได้ของคิดแบบ "อาหาเรปฎิกูลสัญญา" เท่านั้นเอง แต่ผลตอบแทนอันคุ้มค่าสำหรับการฝึกคิดเช่นนี้ ท่านว่ามีอานิสงส์มากทีเดียว คือ สามารถทำให้เราหลุดพ้นจากกิเลสหยาบ ๆ ได้ ทำให้เรามีสุขภาพจิตผ่องใส มีสติปัญญาสว่างไสว อันเป็นบาทฐานไปสู่การหยั่งลงสู่อมตะ (ความไม่ตาย หลุดพ้น หมดทุกข์สิ้นเชิง) เฉกเช่นเดียวกับพระพุทธองค์เลยทีเดียว ดังจะขอยกพระสูตรมาอ้างดังต่อไปนี้

....... ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาหาเรปฏิกูลสัญญาอันภิกษุเจริญ แล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยอะไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมีใจอันอบรมแล้วด้วยอาหาเรปฏิกูล- สัญญาอยู่โดยมาก จิตย่อมหวลกลับ งอกลับ ถอยกลับจากตัณหาในรส ไม่ยื่นไปรับตัณหาในรส อุเบกขาหรือความเป็นของปฏิกูลย่อมตั้งอยู่ เปรียบเหมือนขนไก่หรือเส้นเอ็นที่เขาใส่ลงในไฟ ย่อมหดงอเข้า หากันไม่คลี่ออก ฉะนั้น....
สุตตันต.เล่ม ๑๕ ข้อ ๔๖

วิธีทำให้คนที่เราเกลียดหายวับไปจากโลกนี้ (แบบพุทธนะจ๊ะ)

"ไม่ชอบหน้าเพื่อนร่วมงานคนนี้เลย เลวไม่มีที่ติ ชอบนินทาเราประจำ
แต่ก็ต้องเจอหน้ากันทุกวัน เครียดมาก..ก อยากจะลาออกจากงานวันละร้อยหน
แต่ก็กลัวหางานใหม่ไม่ได้ เฮ้อ..! จะทำอย่างไรดีเรา"
สมรศรี

"นักการเมืองคนนี้ ได้ยินชื่อทีไร เกลียดเข้ากระดูกดำจริงๆ " สิทธิชัย

" ไม่ชอบนิสัยเจ้านาย จ้องหาเรื่องเล่นงานเราได้ทุกเช้า นี่จะทนไม่ไหวแล้วนะเฟ้ย " จ๊อด

สังคมไทยของเราในขณะนี้เต็มไปด้วยความขัดแย้ง เกลียดชัง ไปทั่วทุกหนแห่ง ทีนี้เราจะแก้ไขอย่างไรดี คงบอกได้ว่าปัญหานี้เป็นความรุนแรงเชิงโครงสร้าง โครงสร้างของสังคมมันบีบคั้น ที่ทำให้แม้แต่คนดี ๆ ก็ต้องจำใจเอาเปรียบคนอื่น ไม่อย่างนั้นมันก็อยู่ไม่รอด (ลองนึกถึงภาพคนแย่งกันขึ้นรถเมล์) ปัญหานี้คงเป็นเรื่องที่ต้อง ร่วมมือกันทุกฝ่ายครับ พุทธศาสนาช่วยได้แน่ หากชาวพุทธรู้จักศึกษาพุทธศาสนากันอย่างจริงจัง

ในขั้นต้นนี้ ขอเสนอวิธีแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในแง่ส่วนบุคคลไปก่อนก็แล้วกัน โดยขอเสนอวิธีแก้ปัญหาความขัดแย้งเกลียดชังที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลอย่างเฉียบขาด ด้วยบทความเรื่อง "วิธีทำให้คนที่เราเกลียดหายวับไปจากโลกนี้ (แบบพุทธนะจ๊ะ)" รายละเอียดจะเป็นเช่นไร ขอเชิญติดตามได้ ณ บัดนี้


วิธีทำให้คนที่เราเกลียดหายไปจากโลกนี้ (แบบพุทธ)
สมมุติว่ามีใครคนหนึ่ง มาทำร้ายคนที่คุณรัก ให้สิ้นชีวิตลงต่อหน้า ตามหลักพุทธศาสนาสอนไว้ว่า ต่อให้คุณนำเอาคนชั่ว ๆ นั้นไปต้มยำทำแกงให้หายแค้น จนตายกับมือมันก็ยังไม่หนำใจ หรือจะเอาไปเผาไฟให้ไหม้กลายเป็นจุลอีกสักกี่ร้อยหนก็ตามใจ ทว่าบาดแผลความเจ็บปวดที่เขาทำกับคุณไว้นั้น มันก็ยังคงฝังลึกอยู่ ไม่หายไปไหน มันคงฝังแน่นอยู่ในใจของคุณไปจนตราบชั่วฟ้าดินสลาย มีหนทางเดียวเท่านั้นที่จะสามารถเยียวยารักษาบาดแผลในใจคุณให้หายเป็นปรกติได้ นั่นคือ "การให้อภัย"

ฆัตวาสูตรที่ ๑
เทวดานั้น ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระ- ผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า ฆ่าอะไรหนอจึงอยู่เป็นสุข ฆ่าอะไรหนอจึงไม่เศร้าโศก ข้าแต่พระโคดม พระองค์ชอบฆ่าอะไรซึ่งเป็นธรรมอันเดียว ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ฆ่าความโกรธเสียได้จึงอยู่เป็นสุข ฆ่าความโกรธเสียจึงไม่ เศร้าโศก แน่ะ เทวดา พระอริยเจ้าทั้งหลาย สรรเสริญ
การฆ่าความโกรธ ซึ่งมีรากเป็นพิษ มียอดหวาน เพราะฆ่า ความโกรธนั้นเสียแล้วย่อมไม่เศร้าโศก ฯ
สุตตันต. เล่ม๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ข้อ ๑๙๘-๑๙๙ หน้า ๕๗

วิธีที่จะทำให้คนที่เราเกลียดชังหายไปจากโลกนี้ ก้ออย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้นนั่นแหละ ว่าถึงแม้จะทำลายคน ๆ นั้นให้กลายเป็นผุยผง ความเกลียดชังนั้น ก็ยังคงอยู่กับเราไม่หายไปไหน ทีนี้จะทำอย่างไรดี
เคล็ดลับอยู่ตรงนี้ คือท่านบอกให้ "ฆ่า" เลย แต่เป็นการ "ฆ่า" ที่ตัวต้นตอ คือความโกรธเกลียดที่อยู่ในใจของเรา ท่านว่าใครฆ่าเจ้าตัวนี้ได้ คนที่เราเกลียดจะหายวับไปกับตา จะกลับกลายเป็นเพื่อนมนุษย์ที่น่าเห็นอกเห็นใจมาแทนที่ คนที่ไม่มีความโกรธกลียดอยู่ในใจนั่น แน่นอนว่า โลกของเขาย่อมจะกลายเป็นโลกแห่งความสุขสดชื่น ไม่มีคำว่าโศกเศร้าอีกต่อไป (ดูพุทธพจน์ข้างบนประกอบ)

แต่ขออภัย.. งานนี้ พูดง่ายแต่ทำยาก เพราะจิตใจของคุณจะต้องมีความมั่นคงหนักแน่น และ ไม่ยอมแพ้ คุณจะต้องมั่นใจตนเองว่า คุณสามารถทำได้ ถ้าคุณมีความมั่นใจตนเอง คุณก็จะสามารถทำให้คนที่คุณเกลียดหายหมดไปจากโลกนี้ทุกคน ด้วยฝีมือของคุณเอง

เทคนิค"ฆ่า" ความโกรธ ที่พระพุทธองค์ได้แนะนำไว้ในพระไตรปิฎก เครือข่ายฯขอนำมาอธิบายเป็นกระบวนการปฏิบัติที่เข้าใจง่าย ขอเพียงแต่คุณมีความเชื่อมั่นพร้อมที่จะต่อสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ ที่จะมาท้าทายคุณ แล้วคุณก็จะพบด้วยตัวของคุณเองว่า เมื่อใดที่ "ความเกลียด" ของคุณหมดสิ้นไป คนที่คุณเกลียดชังรอบๆ ตัวคุณก็จะค่อย ๆ หายหมดไปทีละคน ๆ อย่างน่ามหัศจรรย์

พร้อมกันหรือยัง ต่อไปนี้ คือขั้นตอนในการปฏิบัติ ขอเชิญติดตามได้เลย

๑. ขั้นแรก ให้เตือนตัวเองก่อนเลยว่า ถ้าคุณไม่ชอบหน้าใคร ยิ่งคุณไปนึกถึงความชั่วของเขาทุกวัน คุณก็ยิ่งจะเกลียดเขามากขึ้นเป็นทวีคูณ และ ความเกลียดชังที่คุณสะสมไว้นี่เอง ที่มันจะเป็นเชื้อไฟเผาอกคุณให้ร้อนอกร้อนใจตลอดไป

๒. ขั้นที่สอง ตามหลักพุทธพจน์ที่ยกมาข้างต้น อาวุธที่จะสามารถ "ฆ่า" ความโกรธได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ "ความเมตตา" "ความคิดปรารถนาดี " และ "ความคิดเห็นคุณค่าคุณความดี" ต่อคนที่เราเกลียดชังนั้น ขอให้คุณมั่นใจใน "อาวุธ" ฆ่าความโกรธนี้ว่าสามารถช่วยคุณได้แน่นอน

๓. ขั้นที่สาม ให้เริ่มต้นด้วยการตั้งสัจจะกับตัวเอง ( ยิ่งกล่าวต่อหน้าพระพุทธรูป จะได้ผลดีที่สุด ) ว่า นับตั้งแต่วันนี้เป็นต่อไปนี้ ข้าพเจ้าจะ ไม่คิดในแง่ร้าย ต่อนาย หรือ นส. หรือ นาง ....(คนที่เราเกลียด) ...อย่างเด็ดขาด แต่จะคิดในสิ่งที่ดีๆ มองให้เห็นในแง่ดี , มองด้วยความ กรุณา , ยกย่องในส่วนที่ดี (ไม่ใช่ยกยอนะ) , มองแต่ในเชิงบวก จะระดมความคิดในแง่ดีถึงคน ๆ นี้ ทุกครั้งที่ได้เห็น ได้ยิน หรือ นึกถึง ทุกครั้งไป โดยจะไม่ยอมเผลอพลาดพลั้งไปคิดแง่ร้ายกับเขาแม้แต่เพียงครั้งเดียว

๔.เมื่อตั้งสัจจะแล้ว ต่อไปคุณก็จะได้สนุกกับการ "เล่น" กับความคิดของตนเอง เพราะมันจะมีเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างมาท้าทายคุณ ว่าจะ สามารถทำได้หรือไม่ คุณจะสามารถคิดดีต่อเขาไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ ขอให้คิดว่ามันเป็น"เกม" ที่ท้าทายว่าคุณจะทำได้หรือไม่

๕.หากคุณทำได้ตามที่ตั้งกติกากับตนเองไว้ อานิสงส์ที่จะเกิดขึ้น คือ คนที่คุณเกลียดชังแต่ละคน ก็จะค่อยๆ หายจากโลกนี้ไป คงเหลือแต่คนที่น่าสงสาร น่าเห็นอกเห็นใจ มาแทนที่ และ จะไม่มีใครมาให้คุณต้องเกลียดชังอีกต่อไป

โลกแห่งความกรุณา คือ โลกที่แสนจะอบอุ่น

เราขอเสนอวิธีเปลี่ยนแปลงโลกอันแสนจะว้าเหว่ เหงา เศร้าซึม ของท่าน ให้กลายเป็นโลกที่แสนจะอบอุ่นเปี่ยมล้นไปด้วยมิตรภาพในบัดดล ด้วยธรรมะข้อ "กรุณา"
ด้วย "สติและความเพียร" ของท่านเอง หากท่านสามารถสร้างคุณธรรมข้อนี้ให้เกิดขึ้นภายในจิตใจอย่างต่อเนื่อง ท่านจะได้สัมผัสกับโลกแห่งความดีงาม อันเป็นโลกของชาวพุทธที่แท้จริง

ทุกข์

ทุกวันนี้ท่านรู้สึกตัวหรือไม่ว่าในท่ามกลางภารกิจการงานแสนจะวุ่นวายรอบ ๆ ตัว ท่านกลับมีความรู้สึกโดดเดี่ยว และ แปลกแยกจากผู้คนรอบข้าง หลายครั้งทีเดียวที่ท่านรู้สึกเหมือนกับว่าต้องเผชิญชีวิตอยู่แต่เพียงลำพังผู้เดียว และ บ่อยครั้งที่ท่านอาจจะรู้สึกว่าผู้คนรอบข้างช่างไม่มีความจริงใจกับท่านบ้างเลย ท่านคงจะรู้ดีว่า ทุกคนๆ ก็ต้องเอาตัวของตัวเองให้รอดไว้ก่อน ก็เลยไม่มีใครที่จะมีเวลาเหลียวแลกันและกันอีกต่อไป เฮ้อ..! คิดแล้วก็ยังทำใจไม่ค่อยได้ว่าทำไมสังคมของเราถึงต้องเป็นอย่างนี้ด้วย ดังนั้นหลาย ๆ คนที่ต้องผจญกับชีวิตแบบนี้ไปนานๆ บางทีเขาจึงอาจจะคิดว่าโลกนี้มันช่างแสนจะน่าเบื่อเสียนี่กระไร


ต้นตอของปัญหา

ครับ.. สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจอะไรเลย เพราะนี่คือบรรยากาศของสังคมแบบบริโภคนิยมที่ห่างเหินจากวิถีชีวิตแบบพุทธไปนั่นเอง เหตุผลง่ายๆ ที่จะช่วยอธิบายให้เราเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้น คือ
การที่ชีวิตประจำวันของคนเราในยุคนี้ถูกปลูกฝังให้เกิดค่านิยมบริโภคตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง (ผ่านสื่อต่าง ๆ) ทำให้คนเรายุคนี้มีความเชื่อกันทุกคนว่า ชีวิตจะมีความสุข ต่อเมื่อได้เสพบริโภควัตถุ ดังนั้นทุก ๆ ชีวิตจึงต่างมุ่ง(แก่งแย่ง) แข่งขันกันหาเงินหาทอง (ทุกรูปแบบ) เพื่อนำเงินมาซื้อหาความสุขเหล่านั้น ทีนี้ให้ลองวาดภาพดูว่า การที่นำเอาคนที่มีความคิดแก่งแย่งแข่งขันแบบนี้มาอยู่รวมกันมาก ๆ บรรยากาศของสังคมมันจะเป็นเช่นไร
สรุปว่าความรู้สึกโดดเดี่ยว อ้างว้าง ที่เกิดขึ้นกับคนในยุคนี้ เกิดจากระบบความคิดแสวงหาผลประโยชน์เข้าครอบงำจิตใจผู้คน จนกลายเป็นกระแสของสังคม ทำให้คนเราแต่ละคนไม่มีเวลาที่จะมานึกถึง ห่วงใยกันและกัน ทั้งนี้เพราะมัวแต่ไปคิดไขว่คว้าหาความสุขจากวัตถุภายนอกนั่นเอง

ภาวะไร้ปัญหา

เปลี่ยนระบบคิดใหม่ ให้ทวนกระแสความคิดแบบบริโภคนิยมที่ครอบงำจิตใจของเราอยู่ คือ แทนที่เราจะมองว่าการหาทรัพย์สินเงินทองเป็นเรื่องใหญ่ แต่ให้มองว่าความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนมนุษย์นี้ต่างหากเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า ด้วยวิธีคิดเพียงเท่านี้ ความรู้สึกทุกข์ใจต่าง ๆ ของเราจะหายไปเองโดยธรรมชาติ ทั้งนี้เกิดจากความคิดของเรามีความสอดคล้องกับธรรมชาติของสังคมมนุษย์นั่นเอง

วิธีการฝึกคิด

๑. ดำเนินชีวิตที่ประกอบไปด้วยความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ด้วยการฝึกหายใจเข้าออกอย่างมีสติในชีวิตประจำวัน เพื่อให้สติของท่านมีความพร้อมที่จะคิดสร้างสรรค์คุณธรรม "กรุณา" ได้ทุกขณะจิต

๒. ให้นึกถึงความเมตตากรุณาของคุณพ่อคุณแม่ที่ท่านคอยโอบอุ้มช่วยเหลือเราในสมัยเยาว์วัย คือนับตั้งแต่เมื่อครั้งเรายังเป็น ทารกตัวเล็กๆ ทั้งนี้เพื่อเป็นการน้อมนำให้คุณธรรมข้อ "กรุณา" ให้เกิดขึ้นภายในจิตใจของเรา สำหรับชาวพุทธ ที่มีความรักศรัทธาในพระพุทธองค์ ให้นึกถึงพระมหากรุณาของพระพุทธองค์เป็นหลัก

๓. เมื่อจิตใจได้สัมผัสถึงความกรุณาของพระพุทธองค์ หรือ คุณพ่อคุณแม่ แล้ว ให้มองสิ่งรอบๆ ตัวของท่าน และคิดในใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัวของท่านต่างล้วนมีความกรุณาต่อท่านเหมือนพ่อแม่ที่รักลูกเช่นเดียวกัน
"หน้าต่างประตู" มีความกรุณาต่อท่าน ช่วยนำแสงสว่างเข้ามาในบ้าน ให้ท่านมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข
"หลังคาบ้าน " มีความกรุณาต่อท่าน ช่วยให้ร่มเงา บังแดดบังฝนแก่ท่าน
"ช้อนชาม ถ้วย แก้ว " มีความกรุณาต่อท่าน ช่วยให้ความสะดวกในการรับประทานอาหารแก่ท่าน
"ต้นไม้ ดอกไม้ ผีเสื้อ " มีความกรุณาต่อท่าน ช่วยให้ความสดชื่นแจ่มใส แก่จิตใจของท่าน
"เพื่อนบ้านของท่าน " มีความกรุณาต่อท่าน ที่ไม่คิดทำร้าย หรือ เบียดเบียนท่าน
"ผู้คนในสังคม " มีความกรุณาต่อท่าน ที่ได้ทำหน้าที่ของเขาเพื่อให้ความสะดวกสบายต่อท่าน
ฯลฯ

๔. ให้ท่านมีสติดูลมหายใจเข้าออกอย่างมีความสุข มองสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง ในความ "กรุณา" ของสรรพสิ่งที่มีต่อท่าน ให้ท่านตระหนักรู้ว่าชีวิตของท่านเปราะบางยิ่งนัก ต้องอาศัยสิ่งต่าง ๆ มากมาย (ปัจจัย ๔) จึงจะสามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้ ในการปฏิบัติท่านอาจจะภาวนาคำว่า "กรุณา" ในใจทุกลมหายใจเข้าออกในขณะที่มองสิ่งต่างๆ ไปด้วยก็ได้

๕. ตามหลักของธรรมชาติ เมื่อเราเป็นผู้รับแล้วก็ควรที่จะเป็นผู้ให้ด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นขั้นตอนต่อไป ท่านจึงควรแสดงความกรุณาตอบแทนต่อสรรพสิ่งและชีวิตทั้งหลาย

๖. ความกรุณา คือความรู้สึกที่แผ่กว้างออกไป เป็นความรุ้สึกที่ไวต่อความทุกข์ยากของสรรพสัตว์ทั้งหลาย จนเกิดเป็นแรงจูงใจคิดกระทำการเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์
ในการปฏิบัติให้ท่านระลึกอยู่เสมอว่าสิ่งต่าง ๆ ที่อำนวยความสะดวกรอบตัวท่านนั้น ล้วนแต่มีความทุกข์เป็นเบื้องหลังทั้งสิ้น ให้ท่านรู้สึกไวต่อความทุกข์ของสรรพสัตว์ทั้งหลายทุกลมหายใจเข้าออก เช่นเดียวกับพระพุทธองค์

ยกตัวอย่าง
"ต้นไม้" ให้ความร่มรื่นแก่ท่าน แต่ทุกข์ของต้นไม้ก็คือ หากไม่ได้น้ำก็ต้องเหี่ยวแห้งตาย อีกทั้งยังมีทุกข์จากโรคและแมลงอีกมากมาย ให้ท่านรู้สึกรับรู้ถึงความทุกข์ยากของต้นไม้ จนรู้สึกอยากจะตอบแทนด้วยการคอยดูแลเอาใจใส่อยู่เสมอ
"สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ " ให้ความสะดวกสบายแก่ท่าน แต่ทุกข์ของสรรพสิ่งคือความเสื่อมโทรม เปลี่ยนแปลง ทนได้ยาก หน้าที่ของเราที่ควรเกี่ยวข้องด้วยความกรุณา คือ ช่วยรักษาดูแลให้คงสภาพที่ดีงามไว้ให้มากที่สุด เช่น การช่วย รักษาความสะอาดเป็นต้น

๗. ความกรุณาต่อเพื่อนมนุษย์จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อท่านเริ่มมองเห็นว่าทั้งตัวท่านเองและเพื่อนมนุษย์ทุก ๆ คนในสังคม ไม่ว่าจะยากดีมีจน ล้วนแต่ต้องตกอยู่ภายใต้ชะตากรรมเดียวกัน คือ ต้องพบกับความทุกข์กายและใจ มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ร่างกายไม่พ้นจากอำนาจแห่งความเสื่อมโทรมแก่เฒ่าชรา และในที่สุดท่านเองและทุกๆ คนย่อมไม่พ้นจากความตาย สภาวะทุกข์พื้นฐานเหล่านี้ ทุกๆชีวิตจะต้องได้พบเสมอกัน
การมองเพื่อนมนุษย์ด้วยวิธีคิดเช่นนี้จะทำให้เกิดมหากรุณาขึ้นภายในจิตใจของท่าน ท่านจะเกิดความรักต่อเพื่อนมนุษย์มากขึ้นจนกลายเป็นความรักที่ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ
หากท่านมองผู้คนด้วยสายตาแห่งความกรุณาเช่นนี้ บรรยากาศแห่งชุมชนชาวพุทธย่อมเกิดขึ้นภายในจิตใจของท่านอย่างแน่นอน
ยกตัวอย่าง
พบเห็นคนร่ำรวยเงินทอง ท่านคิดในใจว่า ถึงเขาจะร่ำรวยสักเพียงใด แต่เขาก็ยังมีหัวอกเดียวกับเรา คือ ไม่รอดจากความแก่ เจ็บ และ ตาย คิดแล้วก็รู้สึกกรุณา เห็นอกเห็นใจคนร่ำรวยขึ้นมาทันที
พบเห็นคนมีอำนาจ ท่านคิดในใจว่า ถึงเขาจะมีอำนาจล้นฟ้าสักเพียงใด เขาก็ไม่สามารถจะต่อรองกับความ แก่ เจ็บ ตายได้ ตรงนี้เองที่เขาเสมอกับเรา คือ ไม่มีใครสามารถต่อรองกับความตายได้เลย คิดแล้วทำให้ท่านเกิดความกรุณา รู้สึกเมตตาสงสารคนที่มีอำนาจว่า เขาก็ต้องพบกับความทุกข์เช่นเดียวกับเราเหมือนๆ กัน หัวอกเดียวกันแท้ ๆ
ฯลฯ

๘. มหากรุณาสามารถเกิดขึ้นได้โดยวิธีมองผ่านวัตถุสิ่งของต่าง ๆ ที่ให้ความสะดวกสบายรอบๆตัวท่าน โดยคิดเชื่อมโยงไปถึงความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังของสิ่งอำนวยความสะดวกสบายเหล่านั้น
ยกตัวอย่าง
"เก้าอี้นั่ง" ด้วยสายตาแห่งความกรุณา ท่านมองเห็น ความยากลำบากของเพื่อนมนุษย์ที่ต้องทำงาน หลังขดหลังแข็งกับสิ่งเหล่านี้ ความยากลำบากของพนักงานขนส่ง ความทุกข์ใจของผู้ประกอบธุรกิจ ความยากลำบากของคนงานที่ต้องไปตัดไม้ในป่า ตลอดจนเห็นความทุกข์ของต้นไม้ที่ต้องถูกตัดโค่นลง ฯลฯ
"ข้าวปลาอาหาร" ด้วยสายตาแห่งความกรุณา ท่านมองเห็น ความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์ ที่ต้องทำงาน อย่างหนักเพื่อผลิตข้าวปลาอาหารให้แก่ท่าน เห็นชีวิตสัตว์ต่างๆ มากมาทที่ต้องล้มตายลงไปมากมายเพื่อให้ชีวิตของท่าน ได้อยู่รอด
ด้วยสายตาแห่งความกรุณานี้เอง ทำให้ท่านเกิดความรักต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย

๙. หากทุกลมหายใจเข้าออกของท่าน มีสติระลึกรู้อยู่ทุกขณะ มองเห็นความกรุณาของสรรพสิ่งที่มีต่อท่าน พร้อมๆ กับท่านเองก็มีความกรุณาต่อสรรพสิ่งทั้งปวงเช่นเดียวกัน ด้วยการปฏิบัติเพียงเท่านี้ โลกแห่งความกรุณาก็จะเกิดขึ้นภายในจิตใจของท่าน เป็นที่โลกที่แสนอบอุ่น ท่านจะพบว่าโลกที่เคยโดดเดี่ยวอ้างว้างได้หายหมดไปโดยสิ้นเชิง กลายเป็นโลกที่มีบรรยากาศอบอวลไปด้วยความเมตตากรุณา และ นี่คือ "โลกของชาวพุทธ" ที่แท้จริง

"ปัญญา และ กรุณา ช่วยให้ท่านมองเห็นปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นด้วยความเข้าใจ และ เห็นใจ "

Friday, July 13, 2007

สารพัดวิธีมองโลกในแง่ดี (ฉบับวัยรุ่น)

เพื่อนนินทา : เพื่อนนินทาเรา แสดงว่าเราต้องมีดีอะไรสักอย่าง จนเพื่อนมันอิจฉา อย่างนี้เราน่าจะภูมิใจตัวเองแทนที่จะไปโกรธเพื่อนคนนั้น พูดง่ายๆ เขาไม่มีจุดเด่นเหมือนเราเขาจึงนินทาว่างั้นเหอะ

ส่งยิ้มให้เธอแล้ว ไม่แยแส : ยังดี..นะเนี่ย ที่เธอไม่ด่ากลับมา นี่แสดงว่าเธอยังมีน้ำใจดีอยู่บ้าง โอ.. ซาบซึ้งเหลือเกิน ถึงเราจะแห้ว..แต่เราก็ยังประทับใจในความดีของหล่อน

โดนแม่ด่าแต่เช้าตรู่ : แม่ด่าเรา แสดงว่าแม่ยังรักและห่วงใยเราอยู่ โห..ซาบซึ้งมากเลย อีกอย่างหนึ่งในคำด่าของ แม่ต้องมีอะไรดีๆ ซ่อนไว้แน่ ๆ ไม่อย่างนั้นแม่ไม่ด่าซ้ำ ๆ เรื่องเดิม ๆ อย่างนี้หรอก

ครูสอนไม่รู้เรื่องเลย : ท้าทายมาก ..ท้าทายมาก นี่หมายความว่าคุณครูกำลังท้าทายเรา ว่าถ้าข้าสอนห่วยๆ แบบนี้ เอ็งจะรู้เรื่องหรือเปล่า อย่างนี้ยอมไม่ได้..เราต้องขวนขวายเอาเอง เพื่อพิสูจน์กึ๋น ให้คุณครูรู้ว่าเรานี้ก็ไม่เบาเหมือนกาน..น

เพื่อนหักหลัง : ไม่เป็นไร..ขอกันกินมากกว่านี้ แต่น่าสงสารนายนะ เพราะนิสัย ของนาย คงจะทำให้นายต้องเสียเพื่อนไปหมดทุกคนในไม่ช้า เพราะคงไม่มีใครหรอกที่จะไว้ใจคนที่หักหลังเพื่อน.

เพื่อนล้อว่าเสี่ยว : โห..! ตัวเรานี่มีอะไรดีๆ เยอะแยะ แต่พวกนายกลับมองไม่เห็นคุณค่า สงสัยว่าการมองโลกของพวกนายคงจะมีปัญหาแล้วล่ะ เสียใจด้วยนะ.ที่นายคงหมดโอกาสจะได้คบกับคนดี ๆ อย่างเรา

เช็คเมล์เจอแต่จดหมายขยะชวนดูรูปโป๊ : ทดสอบ ๆ ทดสอบพลังจิต ถ้าเราลบเมล์พวกนี้ทิ้ง แสดงว่าจิตใจของเราเข้มแข็ง ถ้าเปิดดู ก็อ่อนแอ (เผลอ ๆ โดนหลอกให้เปิดไวรัสอีกต่างหาก อิอิ)

วันหยุดการบ้านเพียบ : สบายมาก..คุณครูกำลังท้าทายความสามารถของเรา(อีกแล้ว) เรารู้ทันหรอกน่า การบ้านเยอะอย่างนี้เราก็ว่าดีนะ เพราะได้ฝึก ตัวเองให้เป็นคนสู้งานหนัก ถ้าเราสู้ไม่ถอยในวันนี้ อนาคตไปโลด

อกหักอีกแหล่ว : ไม่เป็นไร ได้เรียนรู้ชีวิต นี่ป็นการพิสูจน์สัจจธรรมอีกครั้งว่า รักแท้คือแม่เรา ว่าแต่ตัวเราเอง คอยปรับปรุงตัวเองให้ดีๆ เหอะ ชีวิตดีขึ้นเดี๋ยวก็มีคนมาชอบเราเองแหละ

รถติดหงุดหงิดๆ : นั่งสมาธิมันเสียเลย จิตใจสว่างไสว เรียนหนังสือจะได้จำแม่น ง่ายจะตาย หลับตาหายใจเข้าออกลึก ๆ นับ 1 2 3 4 5 ดูลมหายใจ เข้าออกเพลิน ๆ ไม่ต้องไปรอคอยอะไร

โห..ใช้เงินเพลิน : " เงินหมด ก็อดอย่างเสือ" ดีสิ..จะได้ฝึกนิสัยอดทนสักระยะ หมดเรียบเลย ยังมีคนอื่นที่ทุกข์มากกว่าเราเยอะแยะ ทุกข์ของเรามันแค่เรื่องขี้ผง

เพื่อนมีมือถือ แต่เราไม่มี : โชคดีแล้วล่ะที่ไม่มี มือถือเนี่ยตัวดูดเงินเลย วัยรุ่นบางคน เมาท์จนล้มละลาย อย่าเห่อไปตามกระแสหน่อยเลย ชีวิตนี้ไม่ได้ดีขึ้นเพราะมือถือหรอกนะ

เราหน้าตี๋ กลม ๆ เหมือนดวงจันทร์ ..อายจัง : โด่..หล่อจะตาย สมัยก่อนนู้น เขาคลั่งไคล้มาก ขนาดที่เมืองจีน เวลาปั้นพระพุทธรูป เขายังปั้นให้หน้าอูม ๆ เลย จริงอยู่สมัยนี้ เขานิยมคนหน้าตาแบบลูกครึ่งฝรั่ง แต่อีกหน่อยก็เลิกฮิต เชื่อเหอะ ไม่แน่นะ ในอนาคตแฟชั่นหน้าตี๋อาจจะกลับมานิยมอีกก็ด้าย ...อ้อ ! อีกอย่างสมัยนี้ สาว ๆ ที่ฉลาด เขาชอบคนดีมากกว่าคนหล่อ นะจะบอกให้

ชอบเขา แต่เขาไม่ชอบเราง่ะ : ธรรมดาเลย.. ปิ๊งใครง่าย ๆ มันก็ต้องกิน"แห้ว"ประจำ ที่จริงชีวิตของเรานั้นมีคุณค่ามากนะ จะปล่อยให้เรื่องเล็กๆ แค่นี้มาทำให้ชีวิตของเราไร้ค่าได้อย่างไร ทำตัวเองให้มีค่า ดีกว่า เดี๋ยวก็มีคนดี ๆ มาชอบเราเองหรอกน้า..า

เฮ้อ ! แฟนดูรูปโป๊ประจำ : ดูเข้าไปเลย..เห็นพระท่านว่าพวกผู้ชายที่ชอบดูรูปโป๊มาก ๆ ชาติหน้าพวกนี้จะไปเกิดเป็นผู้หญิงกันหมด เพราะจิตใจฝักใฝ่แต่รูปร่างผู้หญิง ดีสม..! ชอบเอา เปรียบกันนัก ไปเกิดเป็นผู้หญิงเองเสียบ้าง จะได้รู้สึก (เขาเรียกว่าไป "ที่ชอบๆ" ฮิ ฮิ)

ผิดหวังผลสอบดูหนังสือแทบตายได้แค่ เกรด B : เรียนแล้วได้วิชาความรู้ มันก็เหมือนทำงานแล้วได้เงินเดือน การได้เกรด A ก็คล้ายๆ กับว่าเราได้โบนัส ทีนี้ถึงเราจะไม่ได้โบนัส มันก็ไม่น่าจะเสียใจอะไร ก้อเราได้เงินเดือนแล้วนี่นา

เข้าคิวซื้อตั๋วหนังอยู่ดีๆ เพื่อนเล่นแซงคิวหน้าตาเฉย : โถ.. ! น่าสงสาร ยอมเสียนิสัย เพื่อแลกกับตั๋วหนังเพียงใบเดียว

ข้างห้องเปิดเพลงเสียงดังหนวกหูทั้งวัน : เสียงภายนอกดังสนั่น แต่เสียงภายในเงียบสนิท ถึงเสียงวิทยุจะดังปานใด แต่ใจฉันก็ไม่เคยหงุดหงิด ฉันยังคงทำงานของฉันไปอย่างมีความสุข

คนชอบมาแซวเราว่า"น้องดำ ดอทคอม" : ผิวอย่างฉันเขาเรียกว่า "คมขำ" ย่ะ หนุ่มๆ ฝรั่งหลงใหลจะตายไป พวกนายคงโดนโฆษณาหลอกแล้วล่ะ "ฉันคือตัวฉัน" ไม่ต้องให้ใครมาจูงจมูกหรอกนะ

เฮ้อ..! ไม่รู้จะทำอะไรดีเซ็ง..ง ระเบิด ! : " แอ็คทีฟเข้าไว้เพื่อน อย่าให้ความเซ็งเข้าครอบงำ ทำทุกอย่างด้วยความกระฉับกระเฉง หนึ่ง สอง..ๆๆๆ หาอะไรทำให้มันสนุก หนึ่ง สอง... ๆๆ

รู้สึกว่าตัวเองโง่ โดนคนอื่น หลอกอยู่เรื่อย : นึกว่าตัวเองโง่ ยังดีกว่านึกว่าตัวเองฉลาด พระท่านว่าคนฉลาดคือคนที่รู้ตัวเองว่าโง่นะ (แต่อย่าเผลอไปโดนเขาหลอกอีกล่ะ อิ อิ)
เพื่อนเห็นแก่ตัว กินไหนกินด้วย แต่ไม่เคยช่วยสักบาท : เฮ้อ..นึกว่าช่วยชีวิตเพื่อน ให้รอดไปได้สักมื้อก็แล้วกัน ได้บุญดีนะ (แหะๆ....แต่นาน ๆ เจอกันสักที ก็แล้วกัน )
กลุ้มใจจัง ไม่มีคนมาจีบ: "กลุ้มใจ" ไม่มีใคร มันยังดีกว่า "ช้ำใจ" ที่โดนคนมาหลอก มาจีบ ถ้าอยากจะพบรักแท้ มันก็ต้องอดทนไว้ก่อนนะเธอ

หน้าเป็นสิว ไปไหนมาไหน อายเพื่อน : วัยรุ่นมีสิวน่ารักจะตายไป เออถ้าคนแก่มีสิวสิ ค่อยน่าอายหน่อย พวกบริษัทขายยาแก้สิวทั้งหลายนี่แหละตัวดี ชอบโฆษณาทำร้ายจิตใจวัยรุ่นดีนัก ระวังตัวใว้ดีๆเหอะ ชาติหน้ากรรมสนอง ไปเกิดเป็น "ท้าวแสนปม" ไม่รู้ด้วย อิอิ

ทำตังค์ตกหาย 500 แง..! : ไม่เป็นไร..คิดเสียว่าเสียค่าหน่วยกิต วิชา"ละเอียดรอบคอบระมัดระวัง" ก็แล้วกัน นี่ถ้าชีวิตเรามีความรอบคอบมากขึ้น เพราะเงิน หายในคราวนี้ ก็นับว่าคุ้มค่ามากเลยทีเดียว

พ่อแม่ชอบเห็นเรา เป็นเด็กตลอดชาติ : ถึงใครจะมองเราว่าเป็นเด็ก แต่เราก็จะเคารพตัวเอง ว่าเรานั้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว ผู้ใหญ่คือคนที่ไม่ทำอะไรตามใจตนเอง แต่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความรอบคอบ ใคร่ครวญด้วยสติปัญญา (เอ...ชักยากแฮะ หรือว่าจะยอมเป็นเด็กเหมือนเดิมดีกว่าม้าง...ง )

อิจฉาเพื่อน แฟนมันสวยอะ : มีแฟนสวยก็ยินดีด้วย แต่เราว่ามีแฟนนิสัยดี ดูแลเอาใจใส่ดี แบบนี้สุดยอดกว่านะ

รักเธอแต่ว่า ไม่กล้าเอ่ยปาก : อย่างนี้ต้องซ้อมบอกรักกับคนอื่นให้เกิดความเคยชินเสียก่อน พ่อคับ ผมรักคุณพ่อมากคับ .. แม่คับ ผมรักคุณแม่มากคับ .. ไอ้ตูบ ข้ารักเอ็งมากนะ .. เฮ้ย..เจ้าศักดิ์ เรารักนายจริงๆ ว่ะ .. ฯลฯ อิอิ.. ทีนี้พอพูดคล่องแล้ว จึงค่อยไปบอกรักกะเธอ

ช่วยเพื่อนแทบตาย แต่เพื่อนยังคิดร้าย กะเราอีก : เฮ้อ..คิดว่าช่วยเสือตกน้ำให้รอดตายสักตัวก็แล้วกัน เสือเนี่ยนะ ถึงเราช่วยมัน แต่ถ้าเราเข้าใกล้มัน มันก็กัดเราอยู่ดี คงต้องปล่อยเข้าป่าไป เจ้าเพื่อนคนนี้ก็เหมือนกัน ฉันช่วยแกแค่เอาบุญ แต่คราวหน้าคงไม่ช่วยแล้วล่ะ ปรับปรุงตัวเอง ให้นิสัยดีกว่านี้ก่อน แล้วค่อยมาว่ากันใหม่

พอแฟนเจอคนที่รวยกว่า เธอบอกเลิกกับผมทันที: อย่างนี้เรียกว่า..โชคดีที่เลิกกัน จริงๆ นะ ..คนที่เห็นเงินทองสำคัญกว่าความรักอย่างเงี้ยะ ขืนได้แต่งงานด้วย รับรองว่าเจอปัญหาตลอดชีวิตแน่ เราโชคดีแล้วล่ะ ที่แคล้วคลาดออกมาได้

เหงามาก ขอบอก : มองรอบๆ ดู .. อะไรต่ออะไรล้วนแต่เป็นเพื่อนคอยช่วยเหลือเราทั้งน้าน.น โต๊ะก็เพื่อนเรา เก้าอื้ก็เพื่อนเรา หน้าต่างก็เพื่อนเรา หนังสือก็เพื่อนเรา แก้วน้ำก็เพื่อนเรา ฯลฯ...(สามชั่วโมงผ่านไป) .....ฯลฯ หมาก็เพื่อนเรา ต้นหญ้าก็เพื่อนเรา ท่อระบายน้ำก็เพื่อนเรา ตู้ไปรษณีย์ก็เพื่อนเรา... ฯลฯ .... (ต่อไปอีกห้าชั่วโมง)..... ฯลฯ

เพื่อนกวน ยียวนมาก อยากชกสักที : โด่..คนกวนๆ แบบนี้ไปที่ไหนก็มีคนอยากชกกันทั้งนั้น เราจะต้องไปชกเองทำไมให้เจ็บมือ เดี๋ยวก็มีคนอื่นชกให้เองแหละ แต่ดูๆแล้วก็น่าสงสารนะ... โถ..! เกิดมาชาตินี้มีแต่คนอยากชก

อยากตัดใจ จากคนรักค่ะ ทรมานใจมาก อยากทำใจให้ไวสุดๆ : ทุกครั้งที่นึกถึงเขาให้ทำอย่างนี้ดิ " หายใจเข้าลึกๆ นึกถึงเขา(คนนั้น) หายใจออกยาว ๆ สลายภาพของเขาใหัหายไป " แล้วก็พูดในใจว่า "โอ้..! ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่ใช่ของเรา มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย " (จับฝึกกรรมฐานเสียเลย อิอิ )

พ่อบังคับผม จะให้สอบเอ็นฯติด ให้ได้..เครียดมาก : โอเคครับ...ผมจะพยายามเพื่อพ่อ แต่ผมขอเวลาทำอะไรเพื่อตัวผมเองบ้างนะครับ อ้อ..! ถ้าเอ็นฯไม่ติด ก้อไม่ว่ากันนะครับ เพราะสุดฝีมือแล้ว แต่พ่อไม่ต้องห่วงอนาคตของผมหรอกครับ เพราะถึงผมจะเอ็นฯไม่ติด ผมได้เตรียมหนทางของผมไว้แล้ว รับรองไปได้สวยอย่างแน่นอนครับ

นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย : ฮ้าว..ว (หาว) แล้วส่งกระแสจิตไปยังสัตว์โลกแบบนี้ดิ หนึ่ง.. ฉันรักแมว สอง..ฉันรักหมา สาม..ฉันรักยีราฟ สี่...ฉันรักหนอน ห้า...ฉันรักสิงโต หก...ฉันรักนก เจ็ด.. ฉันรักเม่น.... ฯลฯ ( ส่งความรักไปถึงสัตว์โลกอย่างนี้เรื่อยๆ สักร้อยตัว รับรองประเดี๋ยวก็..คร้อกก..ก)

เพื่อนรักต่อหน้าทำดีกับเรา แต่ลับหลังเผาเรา เซียะไม่มีดี : ไม่เป็นไร..เราให้อภัย เพราะนายเคยทำดีกะเราไว้เยอะ เอาเป็นว่าถ้านายเลิกนิสัยนี้ได้เมื่อไหร่ เราทั้งสองคน ค่อยมาคบกันใหม่นะ ...สวัสดี ( โห..! เลิกคบเลย )

ท้อใจ อยากโดดตึก : ขืนโดดก็โง่ดิ .. โด่....ชีวิตนี้มันก็แค่แบบฝึกหัดเล่มใหญ่ ปัญหาผ่านมาเดี๋ยวมันก็ผ่านไป มันมาแวะทักทายเราให้ลองแก้ไขดูเท่านั้นเอง แก้ปัญหาไม่ได้ ก็เรียนรู้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เจอทางออก ยอมแพ้ได้ไง

เพื่อนชอบพูด ข่มเราประจำ : คนมีปมด้อยมาก ๆ ก็อย่างนี้แหละ ชอบข่มคนอื่นให้ด้อย เพื่อตัวเองจะได้เด่น เราไม่ถือสานายหรอก เอาไว้นายเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น นายก็จะรู้เอง

เวลาอยู่ต่อหน้าคนเยอะๆ รู้สึกประหม่า ๆ ไม่ค่อยเชื่อมั่นในตนเอง : เวลายืนอยู่ในกลุ่มเพื่อนๆ ให้คิดอย่างนี้ดิ " ฉันคือราชสีห์ผู้สง่างาม ยืนอยู่ท่ามกลาง หมู่สัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย ( ก็เพื่อน ๆ ไง ) นั่น ยีราฟ (คนสูง ๆ ) โน่น ฮิปโป้ (อิ อิ) นู่น เม่น (คนผมแข็ง ๆ) ฯลฯ " ..เดี๋ยวก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาเองแหละ

เกิดมาจน โธ่ ! คนอย่างเรา : เกิดมาจน ก็ได้เปรียบน่ะสิ เพราะได้มีโอกาสสร้างเนื้อสร้างตัว ด้วยลำแข้งของตัวเองจริง ๆ ชีวิตจะแข็งแกร่งกว่าคนที่เกิดมาสบาย ๆ ตั้งแต่เด็ก แหม..ได้เปรียบแล้ว ยังมาทำบ่นอีก

เพื่อนจะขายตัวบอกว่าไม่เห็น จะหนักหัวใครเลย : ช่าย..ย ..เราก้อเห็นด้วยกับเธอนะ นั่นไง เจ้า HIV ยังพยักหน้าเห็นด้วยเลย

เรา"นมเล็ก" อยากใหญ่กว่านี้ ทำไงดีอะ : เล็กๆ กระทัดรัด น่ารักนะจะบอกให้ แล้วอีกอย่าง ธรรมชาติของผู้ชายเนี่ย เขาต้องการความอบอุ่น จาก "การดูแลเอาใจใส่" ต่างหาก ไม่ใช่จาก "หน้าอกใหญ่ ๆ "

เรียนหนังสือยังไง ให้เป็นเลิศ และไม่ให้เครียดครับ : คิดอย่างนี้ทุกวัน รับรองเป็นเลิศ "ฉันจะตั้งใจเรียนอย่างจริงจัง ฉันจะขยันอย่างไม่หยุดหย่อน ฉันจะค้นคว้าด้วยความอยากรู้จริง ๆ และ...ฉันจะไม่แข่งขันกับใคร นอกจากแข่งขันกับตัวเอง "

ไม่รู้เป็นอะไร อยากได้โน่นได้นี่ตลอดเวลาเดียวแต่ไม่มีเงิน แหะๆ : "อยากได้โน่นอยากได้นี่" มีแต่เสียเงินลูก " อยากทำโน่นอยากทำนี่ " ดีกว่า สนุกดี แฮปปี้ตลอดวัน แถมไม่ต้องเสียเงินสักบาท

แง ...เพื่อนไม่สนใจเราเลย ทำดีเอาใจทุกอย่างแล้วนะ: ทำดีเพื่อให้คนอื่นมาสนใจ มันก็เหี่ยวแห้งอย่างนี้แหละเธอเป็นแม่พระดีกว่านะ... ดูแลเพื่อน ๆ เหมือนอย่างกับแม่ที่ดูแลลูก ให้ความอบอุ่นอย่างทั่วถึง แล้วแอบยิ้มอยู่คนเดียวเงียบ ๆ ....เฮ้อ ! เห็นคนอื่นมีความสุข แล้วก้อสบายใจ

ถ้าหนูจะต้องทำในสิ่ง ที่ตัวเองไม่อยากทำ เช่น ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน (อ้าว ! ) ทำยังไงไม่ให้ขี้เกียจ : ให้คิดดูว่า เราจะได้อะไรจากงานที่ทำนี้บ้าง คิดไปเรื่อย ๆ จนเกิดความรู้สึก "อยากทำ" เช่น "ล้างส้วม" เราได้อะไรบ้าง โห !เยอะแยะ
๑."ได้ออกกำลัง" ดีจังเรายิ่งอ้วน ๆ อยู่ด้วย
๒."ได้เสียสละ" เพื่อพ่อแม่จะได้เข้าห้องน้ำอย่างมีความสุข
๓. "ได้ฝึกอดทน" โตขึ้นเราจะได้แข็งแกร่ง ลุยได้ทุกที่
๔. "ได้บุญ" ใครเห็นห้องน้ำสะอาด เขาก็จะสบายใจ เราก้ออิ่มบุญ
ฯลฯ ..(คิดไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก้อทนไม่ไหว อยากจะไปทำเองแหละ)

ช่วยตัวเองบ่อยมากทำไงให้ลดลง : เบรคตัวเองแรง ๆ ดิ เช่น .. " ไม่คุ้มเลย.. สุขวูบเดียว เพลียไปทั้งวัน ...มันก็แค่อร่อยเหมือนแทะเนื้อติดกระดูก แทะยังไงก็ไม่อิ่ม ... ไม่มีปัญญาคิดสร้างสรรค์ความสุขอื่น ๆ แล้วหรือไง ถึงได้จมอยู่แต่เรื่องพวกนี้ ... เราวุ่นกับมัน มันก็วุ่นกับเรา ไม่เป็นอิสระสักที " ฯลฯ (ถ้าคิดแล้วยังเอาไว้ไม่อยู่ ก็ตามบายเหอะ มันไม่เสียหายอะไรนักหรอก)

คืนนี้ อยู่คนเดียว กลัวผีอะ บรื๋วว..ว์ นี่พวกผี ตอนนี้ฉันกำลังสวดนะโม ตัสสะ ฯ อยู่นะ เตือนไว้ก่อนว่าพระพุทธเจ้าท่านกำลังประทับอยู่ในใจฉัน ผีตัวไหนอย่าอุตริโผล่ขึ้นมาหลอกล่ะ บาปกรรมหัวแตกเป็นเจ็ดเสี่ยงไม่รู้ด้วยนะเออ

คนตามจองล้างจองผลาญ กลั่นแกล้งเราไม่ยอมเลิก : " เจ้ากรรมนายเวร" ภาค ๒ ชัวร์ !! อย่างนี้ยิ่งตอบโต้ยิ่งเกมยาว (ถึงชาติหน้า) เจ๊ากันไปดีกว่า เอาเป็นว่าจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เรื่อยๆ ศัตรูได้ส่วนบุญเยอะ ๆ เดี๋ยวก็เลิกรากันไปเองแหละ

กระเป๋ารถเมล์สายที่นั่งประจำ พูดจาไม่สุภาพ ฟังแล้วไม่สบอารมณ์เลย : น่าเห็นใจนะอาชีพนี้ นี่ถ้าฉันลองไปทำดูบ้าง ฉันก็คงจะเครียด และต้อง แสดงอาการกริยาแบบนี้แหละ

ทำตัวดีไม่เป็นภัยกับใคร แต่กลับถูกใส่ร้ายป้ายสี : ภูผาหินไม่กลัวพายุร้าย เราบริสุทธิ์ใจเสียอย่าง จะไปหวั่นไหวอะไรกะอีแค่ลมปาก เขาพูดป้ายสี สีก็เลอะที่ปากเขาสิ เราไม่เกี่ยว..

ผมเป็นคนจับจด ทำงานอะไรไม่เคยสำเร็จ ชาตินี้จะเอาดีกะเขาได้มั้ยเนี่ย : นึกถึงภาระกิจที่จะต้องทำแล้วคิดด้วยความมั่นใจว่า " เข้ามาเล้ย..ย งานน่ะ ไม่กลัวอยู่แล้ว (ทุบกำปั้นบนฝ่ามือ) เรามั่นใจ ทำได้แน่ ไม่เลี่ยง ไม่หนี ลุยลูกเดียว " (คิดทั้งวันทั้งคืน ชาตินี้จะไม่มีวันเป็นคนจับจด)

นิสัยตัวเองไม่ดี ชอบจ้องจับผิดคนอื่น : " มิน่าเล่า เราถึงไม่มีเพื่อนที่ดีเหลือเลยสักคน จับผิดตัวเองดีกว่า สนุกกว่ากันเยอะเลย "

ติดเกมงอมแงม เสียการเสียงาน อยากเลิก แต่เลิกไม่ได้ : พูดท้าทายตัวเองดิ เช่น " เล่นเกมสนุก แต่ไม่มีสาระ เสียเวลาไปเปล่าๆ ไหนเก่งจริง ลองทำงานให้สนุกเหมือนเกมดูซิ โด่...ทำได้หรือเปล่า มีปัญญาอ๊ะป่าว "

ทำสิ่งที่ไม่ดีบางอย่างมา (ทำอะไรไม่บอกอะ) รู้สึก กังวลและเครียดมาก หายใจไม่ทั่วท้องเลย : หายใจเข้าออกลึก ๆ ให้สุดปอด ตลอดทั้งวัน และบอกกับตัวเองว่า "ถ้ามันไม่ร้ายแรงถึงกับตาย เราก็ไม่ต้องไปกลัว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เรารับได้อยู่แล้ว เราแก้ไขปรับปรุงตัวเองได้ สบายมาก "

ถูกขาใหญ่ตบกระโหลกที่หน้าปากซอย ฮึ่ม..แค้นมาก เดี๋ยวจะลากปืนไปยิงมัน : โห..! คิดได้ไงเนี่ย จะเอาเพชรไปแลกกะถ่าน คุ้มจริงๆ นะเพ่

ทำไมโรงเรียนต้องบังคับ นักเรียนชายให้ตัดผมด้วย หมดหล่อเลยเรา เผด็จการชัด ๆ : ลดความหล่อบ้างสักนิดก็ดีนะ สาว ๆ จะได้ไม่กวน ขอบคุณคับคุณครู ที่ช่วยให้ผมได้เรียนหนังสือเต็มที่กับเขาสักที

ไม่สบอารมณ์ คนนั่งข้าง ๆ (ใครหว่า ?) ขอคาถาขับไล่หน่อยสิ : ได้สิ.. " โอมเพี้ยง.. ชิ๊ว ๆ ๆ ไป พวกความคิดที่ไม่ดีทั้งหลาย หายวับกับตาไปให้หมดเดี๋ยวนี้เลย ฉันจะได้ใจเย็นๆ สักที "

ฮือ..ๆๆ เราติดเอดส์ เรากลัวตาย..ฮือๆๆ : เข้มแข็งๆ กล้าหาญไว้ โอ.!.ฉันขอบคุณโรคเอดส์ เพราะมันทำให้ฉันไม่ประมาทในชีวิตอีกต่อไป ฉันจะรักษาสุขภาพกายใจให้ดีๆ อายุจะได้ยืนยาวไปอย่างน้อยอีกสิบปี (ไม่แน่นะ ถึงตอนนั้นอาจจะมียารักษาให้หายแล้วก็ได้ ) ฉันจะทำความดีให้มากๆๆๆ จวบจนวินาทีสุดท้าย เพราะพระท่านว่าคนที่ทำความดีไม่ต้องกลัวโลกหน้า ตายไปเมื่อไหร่จะสุขเหลือล้นจนคนข้างหลังอิจฉาเลยทีเดียวเชียว

เจอพวกชอบโทร(สาธารณะ)นานแทบจะกางมุ้งนอน: ถ้าไม่กล้าเคาะเตือน ขณะที่เรายืนรอ ลองฝึกสังเกตรอ คนพวกนี้เล่นๆ ก็ได้ สนุกดีนะ เช่น "อึมม์..เจ้าหมอนี่ นุ่งกางเกงยีนส์ปะๆ แต่ว่าซักสะอาด แสดงว่าชอบโชว์ความเก๋า แต่.. เล็บมือด๊ำดำ ว๊า ! หมดท่าเลย สังเกตดูเสื้อ สก๊อตสีน้ำเงินซะด้วย แต่ดูดีๆ ตะเข็บเย็บไม่ประณีต สงสัยจะเป็นเสื้อโหล ชอบยืนพิงตู้โทรคุยแบบนี้ น่าจะเป็นคนขี้เกียจนะ นั่น ๆ มีสมุดเรียนเหน็บที่กระเป๋าหลัง อ๋อ ! เรียนอยู่สถาบันนี้เอง แหวะ .. ทีหลังมีเราลูก เราไม่ส่งเรียนที่นี่หรอก นิสัยไม่ดี ฯลฯ " (บางคนกว่าจะออกจากตู้ สงสัยสังเกตจนเขียนตำราได้หนึ่งเล่ม หุ หุ ) "

เป็นคนขึ้อายมากกกกค่า เวลาคุยกะใคร ม้วนไปม้วนมา : จะคุยกับหนุ่มใช่มั๊ยล่า..า รู้ทันหรอกน่า ให้คิดว่าเขาเป็นลูกชายคนโตของเราดิ แม่รู้สึกยังไงกะลูกล่ะ เอ็นดูใช่มั๊ย สงสารใช่มั๊ย ให้มีเมตตากรุณาต่อผู้ชายทุกคนที่คุยด้วย แต่ไม่หวั่นไหวกะใครง่าย ๆ ความอายจะหายไป ............ทำได้ป่าว

มีคนใส่ร้ายเรา เราโกรธมาก จนนอนไม่หลับ : เขาทำความชั่วเขาก็ได้ผลชั่วของเขาเอง เรามามัวนอนโกรธ จนนอนไม่หลับ อย่างนี้ก็สมใจเขาสิ เปลี่ยนไม่ถือสาหาความ เมตตาเอ็นดูเขาดีกว่า นอนหลับสบาย แถมฝันดีอีกต่างหาก

มีแฟนหลายคน สับหลีกไม่ทันอะ : มีแฟนเยอะ แสดงว่าเรายังไม่เจอรักแท้ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะลองแกล้งป่วยดู ถ้าคนไหนมาเยี่ยม แสดงว่าคนนั้นก็ผ่านรอบคัดเลือก เราจะทดสอบกลั่นกรองให้เหลือคนที่ดีที่สุด เพราะรักเดียวใจเดียวคือความสุขที่แท้จริง

ครูสอนน่าเบื่อโดดเรียนดีกว่าเรา : โดดเรียน ได้ผ่อนคลาย มีเสรี จะไปไหนก็ได้ อึมม์...มันก้อดีเหมือนกันนะ แต่ทว่า...มันเป็นการหนีปัญหา เพราะอีกหน่อยเราก็คงต้องหนีเรื่อยไป หนีหน้าคน -หนีการงาน -หนีความรับผิดชอบ ขืนเป็นอย่างนี้ อนาคตของเราคงจะไปไม่รอดแน่ๆ สู้เลย..! จะไปกลัวอะไร ถ้าครูสอนน่าเบื่อ เราก็เรียนให้มันน่าสนุกสิ ง่ายจะตายไป เรื่องอะไรจะหนีเรียนให้เสียชื่อ เราสู้วันนี้ วันหน้าสบายมาก เย.."

ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะครับ ทำไมผู้ใหญ่ชอบบังคับกันเรื่อย : ถ้าไม่อยากให้รู้สึกว่ามีคนมาบังคับ ก็ต้องทำอะไรด้วยเหตุผลของตัวเอง เช่น :-
โรงเรียนบังคับให้ตัดผม เราก็คิดว่า "เราตัดผมไม่ใช่เพราะกลัวลงโทษ แต่เราตัดผมเพราะเราเคารพกฎของโรงเรียนต่างหาก"
แม่สั่งให้เก็บที่นอนทุกเช้า เราก็คิดว่า "ที่เราทำไม่ใช่เพราะกลัวแม่ด่า แต่เพราะเห็นว่ามันเป็นระเบียบเรียบร้อยดีต่างหาก"
พ่อบังคับไม่ให้เราไปเที่ยวไหนในวันหยุด เราก็คิดว่า ที่เราไม่ไปไหน ไม่ใช่เพราะกลัวพ่อดุ แต่เพราะเราต้องการจะฝึกตัวเองให้เข้มแข็งต่างหาก" ฯลฯ

มีครูอยู่วิชาหนึ่ง ไม่ให้เกียรตินักเรียน ชอบพูดสบประมาท เด็กอยู่เรื่อยเลย : ทุกครั้งที่ได้ยินถ้อยคำดูหมิ่น ให้ยิ้มน้อยๆด้วยความเข้าใจและเห็นใจ(ผู้พูด) และ ให้คิดในใจว่า " พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญเราผู้ที่มีความหนักแน่น อดทนต่อถ้อยคำ ประกอบดัวย เมตตา และ ปัญญา ว่าเป็น ผู้ใหญ่ หาใช่ เด็ก ไม่ "
เป็นโรคใจง่าย: เวลาเข้าใกล้คนหล่อเข้าใกล้คนหล่อ ๆทีไร ให้นึกถึงอะไรที่น่าเกลี๊ยดหวั่นไหวทุกที น่าเกลียดภายในตัวของเขาสิ เช่น ขนจมูกของเขา ขี้หูของเขา ขี้ตา... .. รังแค.... อึ ..(แหวะ) คิดอย่างนี้ เดี๋ยวก็หายหวั่นไหวไปเอง ..ไม่เชื่อ ลองดูดิ

เพื่อนๆ ในห้องมีแฟนกันหมดแล้ว มีเหลือแต่เรา "แหง่ว..ว" อยู่คนเดียว : คิดมุมกลับ.. " เพื่อนๆ ในห้องหาเรื่องไปร้อนรนทุรนทุรายกันหมดแล้ว เหลือแต่เราอยู่เย็นเป็นสุขอยู่คนเดียว เย..! "

อยากเที่ยวกลางคืน ให้มันสนุกสุดเหวี่ยงไปเลย : สุดเหวี่ยงจนลงเหวน่ะสิไม่ว่า เที่ยวกลางคืนเนี่ยปากทาง แห่งความเสื่อมเลยนะตัวเอง

ข้างบ้านชอบแต่งตัวโป๊ ขอคาถาข่มใจหน่อยดิ : โอม ! ... ธรรมดาๆๆ ๆ ไม่เห็นจะน่าตื่นเต้นอะไร เหม็นขี้เหงื่อ เหม็นขี้ไคล ใคร ๆ ที่ไหน ก็เหมือนกัน (ท่องไปจ้องไปนะ )

เพื่อนๆในห้องจับกลุ่มกันไปเที่ยว เราเป็นเด็กเรียน เลยถูกโดดเดี่ยว : ปล่อยเด็ก ๆ เขาไปเหอะ เราน่ะเป็นผู้ใหญ่แล้ว สมัยนี้นะถ้าหาเพื่อนดี ๆ ไม่ได้ อยู่คนเดียวอย่างนี้ดีที่ซู้ด

เขาหล่อจัง..แต่นิสัยไม่ดี คิดยังไงไม่ให้หลงรัก : คิดอย่างนี้ดิ... คนสวยๆ หล่อ ๆ แต่นิสัยไม่ดี มันก็เหมือนกับดอกไม้สวยๆ แต่ส่งกลิ่นเหม็นฉึ่ง ฉันคนหนึ่งล่ะที่ไม่ขอเข้าใกล้

ชอบจิ๊กของตามร้านอะ หนุกตื่นเต้นดี : (ด่าตัวเอง ) โรคจิตนะเรา.. ชอบสะสมนิสัยขโมย ระวังให้ดีเหอะ นิสัยนี้มันจะ พาเราไปเจอะเคราะห์ร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันหนักหนาสาหัสกว่าปรับ ๑๐ เท่าที่ร้านอีกนะจะบอกให้

เราโกรธเก่ง ใครลองพูดไม่ถูกใจ เป็นควันออกหู : พอรู้ตัวว่าโกรธ หายใจลึก ๆ ช้าๆ เข้าออกสักสิบครั้ง แล้วควันจะไม่ออกหูนะ

ห้ามใจไม่อยู่ อยากจะ chat chat chat : (เตือนตัวเองแรง ๆ) คุยกันผ่านเน็ต ไม่เราโกหกเขา เขาก็โกหกเรา บางทีเราก็หลอกคนอื่น บางทีเราก็หลอกตัวเอง กลับมาสู่โลกแห่งความจริงดีกว่านะเธอ

ทำไมผมชอบทำไม่ดี ทำแล้วก็เสียใจ เสียใจแต่ก็ทำอีก ทำอีกก็เสียใจอีก ไม่เข็ดสักที (ทำอะไรหว่า ?) : ง่ายจะตายไป ... ตื่นนอนตอนเช้า กราบพระที่หัวหมอน สารภาพผิดว่า... "นะโมตัสสะ ภะคะวะโต..กระผมผิดไปแล้วคร้าบ..บ (ผิดอะไรก็ว่าไป ) ละอายใจจังเลย.. ทีหลังจะไม่ทำอีกแล้วคร้าบ..บ" ทำอย่างนี้ทุก ๆ เช้า ติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งปี (โห ! ) แล้วนิสัยไม่ดีประเภท"ฝังรากลึก" (ใช้ภาษาสุภาพนะเนี่ย) จะค่อยๆ หมดไป

ช่วยเพื่อนทุกอย่าง แต่เพื่อนไม่เคย ขอบใจเราสักคำ : พุทธศาสนาสอนว่า ใครชอบช่วยเหลือผู้อื่น คนๆนั้นจะได้บุญ เอาล่ะ...ถึงนายไม่คิดขอบใจเราก็ไม่เป็นไร เพราะอันที่จริง เราเองต่างหากที่สมควรจะขอบใจนายมากกว่า (ก็เราได้บุญเยอะแยะเพราะนายนี่นา)

ผิดหวังผู้ใหญ่ในบ้านเรา ไม่ยอมแก้ไขปัญหาเลย : อย่าไปหวัง... แค่นี้ก็หมดเรื่อง มั่นใจไว้เลย... ปัญหาทุกอย่างจะหมดไป ถ้าทุกคนลงมือแก้ไข โดยไม่คิดหวังพึ่งใคร (อันนี้เป็นคติธรรมประจำใจ"พระมหาชนก"เลยทีเดียวนะ)

เกลียดคนโกหกตอแหลที่สุด :เกลียด "คำพูดโกหก" น่ะดีแล้ว แต่อย่าถึงกับเกลียด "คนโกหก"เลย เพราะคนโกหกเขาย่อมได้รับความเดือดร้อน จากคำพูดของเขาเองทั้งยามหลับและยามตื่น น่าสงสารจะตายไป

ทำไมแฟนถึงชอบพูด ดูถูกหนูต่อหน้าเพื่อนๆ : ถ้าเขาชอบพูดดูหมิ่นเราต่อหน้าเพื่อน เราก็ควรทำสิ่งตรงกันข้ามด้วยการ "พูดยกย่องเขาต่อหน้าเพื่อนๆ เป็นประจำ" ทำอย่างนี้บ่อยๆ บางทีเขาอาจจะละอายใจ นิสัยดีขึ้นมาบ้างก็ได้นะ


"..แท้ที่จริงพุทธศาสนาที่สำคัญที่สุด คือให้วิธีคิดผมเองชอบอ่านพระไตรปิฎก เมื่ออ่านไปแล้วก็สะดุด และเห็นชัดเลยว่าวิธีคิดในพระไตรปิฎกไม่เหมือนที่คิดกันในสังคมทั่วไป ทั้งในสังคมไทยด้วย สังคมทั่วโลกด้วยแต่ว่าเรามักไม่เอาวิธีคิดมาพูดกัน เรายึดเนื้อหามาพูด ที่จริงเนื้อหาบางอย่างจะล้าสมัย แต่ถ้าเป็นวิธีคิดที่ถูกต้องจะเชื่อมโยงกันไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด "
ศ.นพ.ประเวศ วะสี

เทคนิคคิดปรับปรุงชีวิตให้ก้าวหน้า

"ทำไมผมจึงชอบทำในสิ่งที่ไม่ดี ทั้ง ๆ ที่ผมรู้ว่ามันไม่ดี เมื่อทำแล้วก็เสียใจ แต่พอเผลอๆ มันก็อยากทำอีก( ทำอะไรไม่บอกอะ) ช่วยบอกหนทางแก้ไขให้หน่อยสิ"
ชายกลาง
"รู้สึกไม่สบายใจเลย ด้านหนึ่งเราก็นึกว่าตัวเองเป็นคนดี แต่อีกด้านหนึ่งมันก็มีนิสัยบางอย่างของเราที่เลวร้ายมาก มันจึงดูเหมือนกับว่าเรามีคนสองคนอยู่ในร่างเดียวกัน ไม่ชอบเลย คือ เราอยากเป็นคนดีล้วนๆ " นกเอี้ยง

คำถามที่ยกมาแสดงข้างต้น สมมุติขึ้นมาเพื่อแสดงถึงภาวะจิตใจที่สับสน คือ คนจำนวนมากเริ่มไม่แน่ใจตัวเองว่า เขาเป็นคนดีหรือคนชั่วกันแน่เพราะการกระทำของเขามีทั้งด้านสว่างและด้านมืด บางครั้งเขารู้สึกตัวว่าเป็นคนดี แต่บางครั้งเขาก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นเป็นคนที่แย่มากจนไม่น่าให้อภัย และนิสัยทั้งสองด้านนี้เองที่มันจะติดตามเขาไปเหมือนเงาตามตัว ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชีวิตทั้งด้านดีและร้าย คือ นิสัยดีช่วยสร้างสรรค์ให้ชีวิตของเขาได้ก้าวหน้า แต่นิสัยที่ไม่ดีนี่สิ กลับเป็นอุปสรรคขัดขวางทำให้เขาได้รับผลร้ายจากมันนานาประการ

ยกตัวอย่าง

" คุณติ๊ดตี่เป็นคนดี ชอบทำงานอุทิศเพื่อสังคม มีน้ำใจเสียสละ ปัจจุบันทำงานให้กับองค์กรเอกชนแห่งหนึ่ง แต่เนื่องจากคุณติ๊ดตี่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เด็ก ๆ ให้ชอบคิดเอาชนะผู้อื่น พอโตขึ้นแกเลยมีนิสัยไม่ชอบให้ใครมาทำงานเก่งเกินหน้า ผลร้ายที่ได้รับคือไม่มีใครอยากทำงานด้วย คุณติ๊ดตี่เลยต้องทำงานไปตามลำพังด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยว เมื่อทำงานคนเดียวเวลาพบปัญหาอุปสรรคก็เลยแก้ไขไม่ได้ คุณติ๊ดตี่จึงทำงานไม่สำเร็จตามเป้าหมายสักที ล้มเหลวมาโดยตลอด "

"คุณปูดเป็นหนุ่มนิสัยดี ขยันทำการงาน อนาคตไกล แต่ได้รับการปลูกฝังเรื่องเพศผิด ๆจากสื่อมวลชนตั้งแต่เด็ก แกจึงกลายเป็นคนที่มีจิตใจไม่ปรกติ ชอบทำผิดศีลธรรมเกี่ยวกับเรื่องเพศเป็นประจำ และไม่สามารถระงับพฤติกรรมที่ผิดปรกติของตัวเองได้ คือ ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ดีแต่ก็ยังทำ คุณปูดจึงสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นอยู่เป็นประจำ
ในที่สุดวันหนึ่งคุณปูดก็ถูกตำรวจจับนำไปปรับที่โรงพักในข้อหาอนาจาร แล้วคุณปูดก็ถูกสื่อมวลชนอีกนั่นแหละที่นำเรื่องของแกไปลงข่าวประนามเหยียดหยาม จนคุณปูดกลายเป็นคนที่เลวร้ายไม่มีสิ้นดีอีกคนหนึ่งในสังคมไทย ในที่สุดคุณปูดจึงต้องออกจากงาน หมดอนาคตไปเลย "

จากตัวอย่างที่ยกมาสองกรณีข้างต้น จะเห็นว่าทั้งคุณติ๊ดตี่และคุณปูด ต่างมีนิสัยทั้งด้านดีและไม่ดีอยู่ในตัวเอง นิสัยทั้งสองด้านล้วนมีผลต่อการดำเนินชีวิตของทั้งสองคน คือ นิสัยด้านดีทำให้ชีวิตของเขาทั้งคู่เจริญก้าวหน้าไปด้วยดี แต่ในขณะเดียวกันนิสัยด้านลบกลับเป็นอุปสรรคขัดขวาง หรือ ถึงกับทำลายหนทางชีวิตที่ดีงามของเขาให้หมดสิ้นไป

หลักการแก้ไขปัญหา

คนเราถึงจะมีจุดมุ่งหมายที่ดีงามเพียงไร แต่ถ้าเราไม่สนใจแก้ไขปรับปรุงนิสัยที่ยังบกพร่องอื่นๆ ของตัวเอง พร้อมกันไปด้วยแล้ว ก็ยากยิ่งที่เราจะสามารถนำพาชีวิตของตนให้บรรลุเป้าหมายดังที่ตั้งใจไว้ได้ เพราะข้อบกพร่องหรือจุดอ่อนของตนที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขนี่เองที่จะคอยเป็นตัวถ่วงความเจริญ หรือ ทำให้ชีวิตติดตัน หรือถึงขนาดเสื่อมถอยลงไป ทำให้ไม่ประสบความก้าวหน้าดังที่ตั้งใจไว้

อุปมาเราต้องการจะขับรถไปเชียงใหม่ แต่ทว่าสภาพรถที่ขับกลับไม่ดูแล น้ำมันเติมไม่เต็มถัง ยางหลังรั่วแบน พวงมาลัยฝืด น้ำมันเบรกก็ไม่มี สภาพรถอย่างนี้ ต่อให้ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะขับไปให้ถึงสักเพียงใด ก็ไม่มีทางขับไปถึงอย่างแน่นอน

ดังนั้นหากเรารู้จักปรับปรุงคุณภาพชีวิตของเราเองเป็นประจำ โดยการหมั่นสำรวจตรวจตรานิสัยใจคอ ตลอดจนการกระทำของเราทุก ๆ ด้าน เราก็จะได้ข้อมูลที่ชัดเจน สามารถนำไปปรับปรุงพัฒนาชีวิตของตนให้ก้าวหน้าอย่างมีดุลยภาพ (พัฒนารอบด้าน ได้สมดุลย์) นี้เป็นวิธีการที่ดีที่สามารถพัฒนาชีวิตของเราจะได้ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ไม่ติดขัด ชักช้า หรือ เสื่อมถอย อีกต่อไป

วิธีปรับปรุงชีวิตของตนเองให้ดีพร้อมทุกด้าน

ทุกวันก่อนนอนเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ที่เหมาะสำหรับการมานั่งทบทวนชีวิตของตนเองที่ได้ดำเนินมาตลอดวันว่าเรายัง มีอะไรที่ยังต้องแก้ไขปรับปรุงตนเองได้อีกบ้าง เพื่อพัฒนาชีวิตของตนเองทุกด้านให้ก้าวหน้าไปพร้อมๆ กัน โดยขอเสนอวิธีคิดดังต่อไปนี้
๑. ให้ถามตัวเองว่า วันนี้ตนเองได้ทำอะไรที่เป็นที่น่าพอใจบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการบำเพ็ญประโยชน์ต่อตนเอง หรือ ผู้อื่น หรือ การสร้างเสริมนิสัยที่ดีงามให้แก่ตนเอง ให้ทบทวนในใจเป็นข้อ ๆ เพื่อสร้างความรู้สึกพอใจยินดีปราโมทย์ในสิ่งที่ตนได้กระทำลงไป จนรู้สึกเคารพตนเองว่าเป็นบุคคลที่เกิดมาแล้วได้ทำสิ่งที่ดีๆ ฝากไว้กับโลก
ยกตัวอย่าง
๑.๑ ฉันพอใจที่ได้ตื่นแต่เช้าในวันนี้ไม่ตื่นสายเหมือนวันก่อน
๑.๒ฉันพอใจที่ทำงานได้เสร็จก่อนเวลาตามนัดหมาย
๑.๓ฉันพอใจที่ระงับความขุ่นเคืองตอนคุณแม่บ่นได้
๑.๔ฉันพอใจที่ได้มีน้ำใจทักทายเพื่อนบ้านด้วยวาจาอันไพเราะ
ฯลฯ

๒. ให้บอกกับตนเองว่า ความดีที่ทำไปมันยังไม่พอ มันต้องทำให้ดีกว่านี้ มากกว่านี้ เป็นทวีคูณ เพราะถ้าคนเราคิดว่าตัวเองดีแล้ว เก่งแล้ว นั่นแหละครับ เขาเรียกว่า " คนประมาท " ดังนั้นเราจึงควรสร้างความ "ไม่พอใจ" ในความดีที่มีอยู่ คือ ไม่ควรหลงตนเองว่าดีแล้ว แต่ควรมีความอ่อนน้อมถ่อมตน คิดฝึกฝนพัฒนาตนเองอยู่เสมอ นี้เป็นนิสัยประจำตัวของพระพุทธองค์ในสมัยก่อนที่จะตรัสรู้เลยทีเดียว คือ "ความไม่สันโดษในกุศลธรรม"

ยกตัวอย่างวิธิคิด
๒.๑. คุณเอนั่งสมาธิเก่งมาก แต่แกก็สอนตัวเองว่า " ถึงจะนั่งสมาธิได้ดี แต่ฉันยังโกรธง่ายอยู่เลย ไม่ได้เรื่องหรอก คงต้องฝึกเมตตาให้มากกว่านี้ "
๒.๒. คุณดวดขยันทำการงาน จนเจ้านายชมเปาะ แต่แกก็สอนตัวเองว่า " ยังขยันไม่พอหรอกแค่นี้ มันต้องขยันทุกลมหายใจถึงจะดี"
๒.๓. คุณอุ๋ยใจดีมีเมตตา จนเพื่อน ๆ ชมว่าเป็นแม่พระประจำออฟฟิส แต่คุณอุ๋ยก็เตือนตัวเองเสมอว่า " ใจดี แต่ไม่ค่อยจะใช้สติปัญญา อย่างเนี้ยนะ โดนเขาหลอกประจำ ไม่ไหวหรอก "

๓. ให้นึกถึงสิ่งที่บกพร่องของตนเองที่ทำมาตลอดวันว่ามีอะไรบ้าง และให้สร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้ไปทำอีกด้วยการ รู้จักติเตียนตนเองให้เกิดความละอายใจ เห็นผลร้ายของนิสัยไม่ดีเหล่านี้ (หิริโอตตัปปะ)
ยกตัวอย่าง
๓.๑. กินข้าวไม่ล้างจาน "แย่จริง น่าละอายมาก เอาเปรียบคนอื่นนี่เรา"
๓.๒.จิ๊กเงินแม่ " โห.. เนรคุณสุด ๆ แม่รู้คงเสียใจแย่เลย "
๓.๓. เปิดดูรูปโป๊บนเน็ต " โรคจิตนี่เรา ทำไมไม่หาอะไรดีๆ มีสาระดูบ้างล่ะ โตแล้วนะ"
๓.๔. นินทาเพื่อน " เลวมาก.. ทำไมเราเป็นคนอย่างนี้ ถ้าคืนอื่นเขานินทาเราม้าง เราจะรู้สึกอย่างไร "
ฯลฯ

๔. ในกรณีที่เป็นความประพฤติผิดศีลธรรม ให้คุณรู้จักสร้างความรู้สึกสำนึกผิดในการกระทำที่ไม่ดีของคุณเอง ด้วยการสารภาพกับใครสักคนหนึ่งที่คุณมีความเคารพ และ ไว้ใจ

การสารภาพสำนึกผิดนี้เองที่จะเป็นการปลดปล่อยจิตวิญญาณของคุณให้พ้นจากความชั่วร้ายต่าง ๆ ที่ครอบงำคุณมาโดยตลอด

ในสังคมสมมุติสงฆ์ ท่านจึงให้พระภิกษุมาทำการสารภาพความผิด (ปลงอาบัติ) กับหมู่คณะ หากพระภิกษุนั้นได้กระทำความผิดต้องอาบัติข้อใดข้อหนึ่งลงไป (อาบัติเบา) คณะสงฆ์เมื่อได้รับรู้ก็จะให้อภัย และ ช่วยเป็นกำลังใจให้สำรวมระวังต่อไป นี้เป็นบรรยากาศของชุมชนที่ดีงามในอุดมคติ ที่สมาชิกทุกคนในชุมชนช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกัน (น่าเสียดายที่สมัยนี้ ตามวัดต่าง ๆ พระภิกษุทำพอแต่เป็นพิธีๆ จึงไม่ได้รับประโยชน์อะไร )

กระบวนการ "สารภาพผิด" เป็นการฝึกชาวพุทธให้เป็นคนที่รู้จักสำนึกผิดในสิ่งไม่ดีที่ตนได้กระทำลงไป มีผลดีทำให้จิตใจของผู้ที่สารภาพผิดเกิดความโปร่งโล่งสบายใจ (ที่ได้สารภาพผิด ) และ ก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันภายในจิตใจของผู้ปฏิบัติไม่ให้เผลอไปทำสิ่งที่ไม่ดีในอนาคต

อนึ่ง หากคุณเหลียวมองรอบ ๆ ตัวแล้ว ยังมองไม่เห็นมีใครที่คุณพอจะไว้วางใจให้รับฟังความผิดของได้ เราขอแนะนำให้คุณระลึกถึงพระพุทธองค์ (หากคุณเป็นชาวพุทธ ) โดยให้นึกในใจว่าคุณกำลังนั่งสารภาพผิดอยู่ต่อหน้าพระพุทธองค์ ให้คุณทำการสารภาพด้วยจิตใจที่สำนึกผิด และ สัญญากับพระพุทธองค์ว่าจะสำรวมระวังไม่เผลอพลาดพลั้งไปกระทำอีก

ขั้นตอนนี้หากคุณทำด้วยความศรัทธาและรู้สึกสำนึกผิดจริงๆ นิสัยที่ไม่ดีต่าง ๆ ของคุณที่เคยเปรียบ เสมือนมารผจญที่คอยมารุกรานชีวิตของคุณย่ำแย่มาตลอดชีวิต ก็จะค่อยๆ หมดพิษสงลง จนหมดสิ้นไปในไม่ช้า

"เทคนิคทำให้ชีวิตมีความสุขตลอดวัน"

คุณหนึ่ง :"วันนี้เครียดจัง ไปนั่งจิบเบียร์เย็นๆ กันเหอะ "
คุณสอง : " เบื่อๆ อย่างนี้ ไม่หาแฟนสักคนล่ะ แก้เหงาได้นะ "
คุณสาม : " อย่าริมีแฟนเชียว ปัญหาเพียบ มา..มาลองนี่ " เม็ดเดียว" รับรองไปสวรรค์ "

นักวิทยาศาสตร์บอกเราว่าการที่คนเราสมัยนี้ชอบจิบเบียร์กินเหล้า หมกมุ่นเรื่องเพศ หรือ เสพยาเสพติด ก็เพราะกิจกรรมเหล่านี้จะไปกระตุ้นร่างกายของคนเราให้หลั่งสารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า"เอนเดอร์ฟินส์" สารชนิดนี้เองที่ทำให้ร่างกายของคนเรามีความสุข รู้สึกโปร่งเบา สบายใจ ศ.นพ. ประเวศ วะสี เรียกสารชนิดนี้ว่า "สารแห่งความสุข"

แต่ทว่าความสุขที่เกิดจากอบายมุขเหล่านี้ เป็นความสุขเพียงชั่ววูบ ไม่ยั่งยืน (ความสุขทางเพศ แม้ว่าจะเป็นเรื่องธรรมดาของปุถุชน แต่ถ้าหากหมกมุ่นมัวเมา ก็ถือว่าเป็นอบายมุขอย่างหนึ่ง) มีโทษมากกว่าคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาเสพติดเป็นสิ่งที่มีพิษภัย เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้ผู้เสพตกเป็นทาสของมันตลอดไป คือ ขาดไม่ได้ และ ยิ่งเสพความสุขก็ยิ่งลดน้อยลง จนกลายเป็นทุกข์ถาวรมาแทนที่

ทำอย่างไรคนเราจึงจะสามารถมีความสุขได้ตลอดทั้งวันโดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งภายนอก พุทธศาสนามีวิธีการมากมายที่จะทำให้คนเราได้เข้าถึงความสุขที่แท้จริง แต่วันนี้เครือข่ายฯ ขอเสนอวิธีง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็ทำได้ เป็นเทคนิคฝึกหายใจเพื่อสกัดสารเอนเดอร์ฟินส์ภายในร่างกายของท่านเอง โดยไม่ต้องไปพึ่งพาอบายมุขอีกต่อไป เป็นเคล็ดลับจากพระไตรปิฎก นำมาเสนอท่านดังต่อไปนี้

เคล็ดลับจากพระไตรปิฎก
ในพระไตรปิฎกอันเป็นแหล่งรวบรวมคำสอนของพระพุทธเจ้า หากท่านได้อ่านคำสอนเกี่ยวกับการฝึกสติด้วยลมหายใจ(อานาปานสติ) ท่านจะพบคำสอนกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่าหากคนเราสามารถฝึกตนเองให้สามารถรู้สึกว่าลมหายใจของตนเองมีการเข้าออกภายในร่างกายได้อย่างชัดเจน และ สามารถทำลมหายใจของตนให้ละเอียดประณีต ลมหายใจอันละเอียดอ่อนนั้นก็จะทำให้กายสังขารระงับ หรือพูดด้วยภาษาสมัยใหม่ คือ ร่างกายของผู้ฝึกจะเกิดความสุขอย่างประณีต รู้สึกโปร่งเบา สบายใจ (ร่างกายหลั่งสารเอนเดอร์ฟินส์) ดังจะขอยกพุทธพจน์บางตอนมาแสดงอ้างอิง ดังต่อไปนี้

"..ดูกรภิกษุทั้งหลาย นายช่างกลึงหรือลูกมือของนายช่างกลึงผู้ขยัน เมื่อชักเชือกกลึงยาว ก็รู้ชัดว่า เราชักยาวเมื่อชักเชือกกลึงสั้น ก็รู้ชัดว่า เราชักสั้น แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันเมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น เมื่อหายใจ เข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลม ทั้งปวงหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดกองลมทั้งปวงหายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลม
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจเข้า…" (มหาสติปัฏฐานสูตร สุตตันต. เล่ม ๒ ข้อ ๒๗๔ )

ทำอย่างไรท่านจึงจะสามารถฝึกฝนตนเองจนสามารถรู้สึกถึงลมหายใจที่เข้าออกได้ชัดเจนราวกับรู้สึกว่ามีลูกสูบชักเข้าออกอยู่ในระบบหายใจของท่าน หายใจยาวก็รู้ว่าหายใจยาว หายใจสั้นก็รู้ว่าหายใจสั้น และ สามารถทำลมหายใจให้ละเอียดประณีต หากท่านทำได้ตามหลักข้างต้น ท่านก็จะพบกับความสุข คือ รู้สึกร่างกายสบาย โปร่งเบา (กายสังขารระงับ) เป็นความสุขที่ไม่ต้องไปพึ่งพาสิ่งภายนอก

และแน่นอน...หากท่านทำได้ตลอดทั้งวัน ร่างกายของท่านก็จะมีความสุขตลอดเวลา

ต่อไปนี้คือเทคนิคการฝึกหายใจที่สามารถทำให้ท่านรู้สึกลมหายใจได้อย่างชัดเจน ท่านสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ปฏิบัติได้ง่าย สบายใจ ไม่ต้องมีพิธีรีตองแต่อย่างใด

ก. ขั้นฝึกหายใจ
๑. ทุกเช้า ฝึกควบคุมลมหายใจเพื่อเตรียมพร้อมที่จะดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข ตลอดวัน อย่างน้อยสัก ๑๐-๓๐ นาที

๒. จะฝึกท่านั่งหรือนอนก็ได้ ตามสบาย (ขอแนะนำให้ปฏิบัติท่านั่ง จะรู้สึก มั่นคงดีกว่า )

๓. ยิ้มน้อย ๆ อย่างมีความสุข

๔. ยกมือขวาขึ้นมารอที่ปลายจมูก

๔. หายใจเข้าลึก ๆ อย่างอ่อนโยน พร้อมกับเคลื่อนมือช้า ๆ จากปลายจมูกลงไปตามลำคอ ภาวนาในใจว่า "หายใจเข้า..เบา..บาง...ง " ในขณะที่เคลื่อนมือลง ไปให้จินตนาการสมมุติว่ามือของท่านกำลังนำพาลมหายใจอันละเอียดอ่อนตามมือไปเรื่อย ๆ เคลื่อนมือลงมาถึงหน้าอก และในที่สุดมือก็พาลมหายใจมาถึงที่สะดือ

๕. หายใจออกยาว ๆ อย่างผ่อนคลาย พร้อมกับเคลื่อนมือช้า ๆ จากสะดือขึ้นมา ภาวนาในใจว่า "หายใจออก สบาย..ย ใจ " ในขณะที่เคลื่อนมือขึ้นมา ให้จินตนาการสมมุติว่ามือของท่านกำลังนำพาลมหายใจอันละเอียดอ่อนตามขึ้นมาจากสะดือขึ้นมาถึงหน้าอกผ่านลำคอและในที่สุดก็พาลมหายใจออกมาที่ปลายจมูก จากนั้นให้จินตนาการว่าลมหายใจของท่านแผ่กระจายลมหายใจไปทุกทิศทาง อย่างไม่มีขอบเขต

๖. ให้เคลื่อนไหวมือพาลมหายใจเข้าออกอย่างนี้อย่างช้า ๆ (ขั้นที่๔-๕) กลับไปมา พยายามทำความรู้สึกว่าลมหายใจของท่านช่างมีความเบาบางละเอียดอ่อนจริงๆ และให้ศึกษาว่าเมื่อเราทำลมหายใจให้ละเอียดประณีตแล้วจะมีผลต่อร่างกายอย่างไรบ้าง

๗. หากท่านปฏิบัติได้ถูกต้อง ท่านจะรู้สึกปีติปราโมทย์ ร่างกายสงบระงับ มีความสุขกาย สุขใจ รู้สึกผ่อนคลาย ทำให้มีความพร้อมที่จะดำเนินชีวิตประจำวันด้วยความมั่นใจ

๘. หากท่านได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติ และ ต้องการจะขอบคุณใครสักคน ขอให้ท่านนึกถึงรอยยิ้มของพระพุทธองค์ เพราะเทคนิคเหล่านี้นำมาจากคำสอนของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก

๙.หากท่านคิดจะตอบแทนคุณความดีของพระพุทธองค์ ท่านสามารถทำได้ ด้วยการช่วยกันศึกษาคำสอนของพระพุทธองค์โดยตรงจากพระไตรปิฎก แล้วนำไปปฏิบัติประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เพียงเท่านี้ก็ถือว่าได้เป็นการตอบแทนคุณความดีที่พระพุทธองค์ทรงพอใจ (ปฏิบัติบูชา)

๒. ขั้นประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

๑. ในขณะที่ประกอบกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ให้ท่านพยายามตามลมหายใจเข้าออกอย่างช้า ๆ ให้รู้สึกถึงลมหายใจเข้าออกของท่านได้อย่างชัดเจนเหมือนกับว่ากำลังมีสิ่งหนึ่งแล่นเข้าออกในทางเดินหายใจตลอดเวลา ยามใดที่ท่านรู้สึกว่าตามลมหายใจได้ไม่ชัด ให้ใช้มือเคลื่อนไหวช่วยนำลมหายใจสักเล็กน้อย ร่างกายจะก็สามารถรู้สึกถึงลมหายใจเข้าออกได้ทันที

๒. ให้พยายามภาวนาในใจในขณะหายใจเข้าว่า "หายใจเข้าเบาบาง..ง" และ ในขณะหายใจออกว่า "หายใจออกสบาย..ยใจ" หากท่านสามารถควบคุมลมหายใจได้ตลอดทั้งวันเช่นนี้ ลมหายใจอันละเอียดอ่อนจะปรุงแต่งให้ร่างกายของท่านให้สงบระงับ ทำให้ท่านดำเนินชีวิตไปตลอดทั้งวันอย่างมีความสุข

๓. ยามใดที่ได้พบกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาเช่น ได้ยินได้พบเห็นสิ่งที่ไม่ชอบใจ ผิดหวัง เครียด กดดัน เบื่อหน่าย หรือมีสิ่งภายนอกมายั่วยุรบกวนจิตใจ ท่านจะรู้สึกตัวได้อย่างรวดเร็ว เพราะ ลมหายใจของท่านจะสั้น และ หยาบลง ร่างกายจะรู้สึกไม่สบายทันที ในการแก้ปัญหา ให้ท่านหายใจให้ลึก และละเอียดเบาบางที่สุด ท่านจะพบด้วยตนเองว่าการควบคุมลมหายใจจะช่วยให้ท่านสามารถที่จะควบคุมอารมณ์ของตนเองให้เป็นปรกติได้อย่างง่ายดาย ไม่ทุกข์ใจง่าย ๆ เหมือนแต่ก่อน

๔.ในการเกี่ยวข้องกับโลกภายนอก ท่านต้องพบปะผู้คน และ ได้รับอิทธิพลจากสิ่งกระตุ้นเร้าต่าง ๆ มากมายรอบตัว หากท่านไม่สำรวมระวัง ความทุกข์จะเข้ามาได้โดยง่ายทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ดังนั้นท่านจึงควรฝึกคิดมองโลกให้เป็นกุศล คือ มองอย่างฉลาด เกื้อกูลต่อสุขภาพจิต รู้จักคิด คิดเป็น ควบคู่ไปด้วย ท่านสามารถศึกษาวิธีคิดต่าง ๆ ได้จากบทความในเว็บไซต์แห่งนี้

๕.ขั้นตอนการปฏิบัติทั้งหมดที่แนะนำมานี้เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ยังมีสิ่งที่ท่านต้องเรียนรู้ด้านอื่นๆ อีกมาก เพื่อให้มีพัฒนาการที่ครบรอบด้าน ได้แก่ การใช้ชีวิตอย่างปรกติ มีพฤติกรรมทางสังคมที่ดี (ศีล) การฝึกฝนจิตใจให้มีสุขภาพจิตดี มีสมรรถภาพจิตดี สมควรแก่การงาน (สมาธิ) ฝึกคิดเป็น คิดถูกต้อง คิดเป็นกุศล ฝึกมองเห็นสภาวะที่เป็นจริงตามธรรมชาติ (ปัญญา) ดังนั้นท่านจึงควรศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมต่อไป ไม่ควรหยุดนิ่ง