Monday, January 23, 2012

ผ่าตัดสมอง ผ่าตัดใหญ่ครั้งแรกในชีวิต และหวังว่ามันจะเป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้าย

ผ่าตัดสมอง ผ่าตัดใหญ่ครั้งแรกในชีวิต และหวังว่ามันจะเป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้าย

ตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้ไว้ เผื่อใครที่ป่วยเป็นโรคเดียวกันได้มาอ่านแล้วจะได้ประโยชน์

สังหรณ์ใจตั้งแต่ที่เป็นเส้นประสาทหูเสื่อมเฉียบพลัน
หรือจะเรียกว่า หูดับเฉียบพลัน ทางแพทย์เรียก sudden sensory hearing loss
จนต้องนอนรพ.ปีก่อนแล้วล่ะว่า...
อาจจะป่วยเป็นอะไรมากกว่านี้...และก็เลยทำบุญเข้มข้นมาตลอด...
และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ...
เริ่มจากคืนวัน 29 พย 2553 อยู่ๆหูข้างขวาอื้อ ตามมาด้วยอาการบ้านหมุน
ตอนนั้นก็ยังนึกว่าเป็นหวัดด้วยซ้ำ และก็ยุ่งๆคิดว่าไม่ได้เป็นอะไรมากด้วย พอดีกับช่วงนั้นติดวันหยุดด้วย เลยทำให้ไปหาหมอช้าไป 7วัน

วันนั้นน่าจะเป็นอ.หมอที่ตรวจเรานะ หมอแก่แล้วอายุประมาณ 70 แต่ยังแข็งแรงหยิบจับอะไรได้คล่อง
หมอก็ส่องดูหู..แล้วก็ใช้ส้อมเสียงเคาะให้เราฟัง..ปรากฎว่าไม่ได้ยิน
ถ้าเป็นหวัดหูอื้อจะได้ยิน แต่นี่เราไม่ได้ยิน...เลยส่งเราไปตรวจการได้ยิน (audiogram)

การตรวจการได้ยิน เขาจะให้เราฟังเสียงที่ระดับความดังและความถี่ต่างๆ
ถ้าได้ยินก็กดปุ่ม...แล้วก็พูดตามคำที่เขาพูดให้ฟัง...มีระดับเสียงดังระดับต่างๆ

ปรากฏว่าหูข้างสูญเสียการได้ยินลดลงไป 80 กว่าเปอร์เซ็นต์
หมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคเส้นประสาทหูเสื่อมเฉียบพลัน

บอกเราว่านอนรพ. 3 วัน...บ่ายนี้เลย...ได้ยินงี้เข่าอ่อนเลย
ไม่เคยนอนรพ.มาก่อนในชีวิต...เคยแต่ไปนอนเฝ้าไข้ นอนเองยังไม่เคย
และก็นึกว่าแค่หูอื้อ เดี๋ยวเอายามากินก็คงหาย ไม่คิดว่าจะต้องถึงกับนอนรพ.

เราเป็นโรคอะไรก็ไม่รู้...ยังหาสาเหตุของโรคไม่ได้ด้วย

ขอหมอกลับบ้านก่อน...หมอเซ็นอนุญาติให้กลับประมาณ 3 ชั่วโมง...
แต่ก่อนกลับต้องไปเจาะเลือดเพราะเขาจะเอาผลเลือดก่อน
ก็เลยกลับบ้านทั้งๆ ที่มีปลั๊กเข็มค้างไว้ที่แขน เพราะจะได้ไม่ต้องเจ็บตัวหลายที


โดนฉีดฮีสตามีนทางน้ำเกลือ
(ยาตัวนี้หมอบอกว่าเป็นยาที่นำเข้ามาและเป็นยาที่ดีที่สุดในประเทศมีแค่ที่นี่กับที่รามาที่ใช้
ถ้าเป็นที่อื่นจะแค่ให้ยามากิน)
ยาตัวนี้ทำให้หัวใจเต้นแรง...ขยายหลอดเลือดจนหน้าเป็นสีแดง
ตามตัวก็เป็นสีแดงด้วย ...ช่วงนั้นผิวพรรณดูเปล่งปลั่งมากเห็นได้ชัดจากใบหน้า
แบบว่าดูมีเลือดฝาด

ดมคาร์บอนวันละครั้ง ครั้งละ 20 นาที
เพื่อขยายหลอดเลือดให้ไปเลี้ยงเส้นประสาทหู

อาการก็ดีขึ้นเสียงอื้อในหูก็เบาลง

หมอมาดูที 6-7 คน พยาบาลมาที 4-5 คน
ไมหมอเยอะงี้อ่ะ O.O
คุยกับพยาบาล เขาเล่าให้ฟังว่า เคยมีแอร์โฮสเตสหูดับเฉียบพลันเหมือนกัน
เพราะเขาทำงานเกี่ยวกับความดันอากาศรักษาหายดีแล้ว กลับไปทำงานเป็นอีกคราวนี้หูหนวกเลย

พอรักษาขั้นนี้เสร็จ...ก็ออกจากรพ.
การรักษาขั้นต่อไปคือการฉีดสเตียรอยด์ความเข้มข้นสูงเข้าหูชั้นกลาง 3 เข็ม สัปดาห์ล่ะ 1 เข็มจนครบ

ตอนฉีดยาหมอจะหยอดยาชาเข้าในหูก่อน...แล้วก็ใช้ฉีดแทงทะลุเยื่อแก้วหูลงไปจนถึงหูชั้นกลาง
แสบทรวงมาก..รู้สึกเหมือนเอาน้ำเกลือมาล้างหู...แสบแบบหมดเรียวหมดแรง
ฉีดเสร็จจะวิงเวียน โลกหมุน นอนพักสักชั่วโมงนึงจึงจะกลับบ้านได้
(ตอนแรกได้ยินว่าใช้เข็มแทงทะลุแก้วหู...อันนี้ตอนแรกเราเป็นกังวลว่า งั้นแก้วหูก็ทะลุอ่ะดิ
แล้วอย่างนี้หูจะหนวกมั้ย...มารู้ตอนหลังว่าแก้วหูมันจะปิดได้เอง เพราะว่ารูที่ใช้เข็มฉีดนั้นมีขนาดเล็ก)

ตรวจการได้ยินก็ดีขึ้นนะ เปอร์เซ็นต์การได้ยินสูงขึ้น

หลังจากนั้นก็ต้องไปหาหมอทุกเดือน..เดือนละครั้ง...ตอนนี้ก็กินยาอย่างเดียว
อาการเริ่มคงที่ตั้งแต่เดือน กพ.54 มาจนถึง สค.54
คราวนี้หมอปานเทพ สุขแสงทอง (หมอปานเทพอ่อนโยนต่อคนไข้มากกก..เรียกชื่อคนไข้เพราะมากและน้ำเสียงอ่อนโยน เคยลืมตัวขานตอบว่า จ๋าาาาาา และเป็นคนละเอียดและใส่ใจดีด้วย ^0^ ) แปลกใจเพราะตรวจการได้ยินแล้วลดลง
หมอเลยให้ไปตรวจการได้ยินระดับก้านสมอง (Auditory Brainstem Response; ABR) ...พอได้ยินคำว่าก้านสมองเท่านั้นล่ะ
เกิดอาการเบลอ...จับใจความที่หมอพูดไม่ได้แล้ว...เราเป็นโรคอะไีรนี่ หนักขนาดถึงก้านสมองเลยเหรอ
แต่หมอก็ยังคงให้กำลังใจนะว่า โอกาสที่จะมีเนื้องอกที่เส้นประสาทหูมีน้อยมากๆ
ตอนระหว่างนั่งรอวันนัดที่หน้าห้องตรวจ...ก็เริ่มจะคิดโน่นคิดนี่..เราเป็นโรคอะไีรนี่...จะเป็นเนื้องอกอะไรมั้ย..จะตายมั้ย...
จะนั่น...จะนี่....อยู่ๆ ได้กลิ่นดอกกุหลาบอีกสักพักก็กลิ่นมะลิ...สูดดมดูเลยกลิ่นชัดเจนมาก ไม่ใช่แค่โชยมา
นิดเดียว...ก็มองหาแหล่งที่มา..ไม่มีดอกไม้ให้เห็นเลย...ก็แปลกใจอยู่เหมือนกันนะ
วันนั้นวันพระด้วย..เราก็รักษาศีลอุโบสถตามปกติ...ปกติเวลาที่นั่งกรรมฐานจะได้กลิ่นดอกไม้
ที่ไม่ทราบที่มา...

ตรวจการได้ยินระดับก้านสมอง (ABR) ก็ขึ้นไปนอนบนเตียง แล้วเขาก็ติดตัวสัญญาณที่หูหน้าผาก
แล้วก็ให้เรานอนเฉย ๆ แล้วจะให้ฟังเสียง เครื่องก็จะประเมินเราไปเรื่อย ๆ ค่ะ ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีได้
ผลการตรวจการได้ยินระดับก้านสมองครั้งที่ 1 กราฟมันแปลกๆ หมอเลยให้ตรวจใหม่อีกครั้งนึง

คิวนัดตรวจในเวลาจะได้อีกประมาณ 2 สัปดาห์ แต่ว่าคิวตรวจนอกเวลาจะได้อีกไม่กี่วัน
เดือนกันยายนกับตุลาคมหมอปานเทพจะไม่อยู่...
เราอยากเจอหมอปานเทพ ก็เลยตรวจนอกเวลา เวลาผลออกจะได้ให้หมอปานเทพดู
แล้วแปลกมาตรวจนอกเวลาราคาเท่ากับตรวจในเวลาด้วยนะ
แปลกมากที่นี่...ทำไมไม่คิดเงินเพิ่มล่ะ...จะคิดเพิ่มก็ได้ไม่มีปัญหา

ผลปรากฏว่า กราฟมันผิดปกติ
หมอปานเทพเลยส่งให้ไปสแกนสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า MRI อย่างละเอียด...

ตอนตรวจ MRI นี่เข้าจะให้เข้าไปนอนนิ่งๆ ไม่ให้ขยับหัวด้วย ไม่งั้นต้องมาสแกนใหม่
นอนในอุโมงค์แล้วเราก็จะได้ยินเสียงดังๆ แล้วมีต้องฉีดยาที่เหมือนกับเป็นสารแม่เหล็กเพื่อเวลาสแกนออกมาจะได้เห็นชัด...ใช้เวลาตรวจประมาณ 1 ชั่วโมง



เห็นสมองตัวเองทุกมุมเลย....
มาเจอก้อนที่สมอง...หมอเลยส่งตัวเราต่อไปที่แผนกศัลยกรรมประสาท
คราวนี้ไปรักษากับอ.หมอสิรรุจน์ สกุลณะมรรคา
(ตกใจเล็กน้อยแผนกนี้หมอเยอะมาก 10 กว่าคน )

ก้อนเนื้อค่อนข้างใหญ่พอสมควร 3.8X2.5X3.6 cm.อยู่แถวๆขมับขวา
กว่าจะโตขนาดนี้ คงใช้เวลาแอบโตมาหลายปี
อาการของโรคนั้น...ในช่วงหลายปีมานี้ไม่มีอาการที่แสดงออกเลย
ไม่ว่าจะวิงเวียน ชัก ปวดหัว อาเจียน ไม่มีอาการเล่านี้เลย
จึงทำให้กว่าจะตรวจเจอก็ใหญ่มากแล้ว

ก้อนมันไปกดทับเส้นเลือดที่มาเลี้ยงประสาทหู หูก็เลยดับเฉียบพลัน

หมอบอกว่าของเราเสี่ยงที่จะมีอาการชัก...แต่นี่ไม่มี...
ก็กลัวๆ เหมือนกันว่าจะชัก...และจะระมัดระวังตัวเวลาที่ต้องไปไหนมาไหนคนเดียว (แอบหนีเที่ยว) ก็จะทำป้ายคล้องคอไว้ว่าป่วยโรคอะไร
ติดต่อใครได้ เผื่อเกิดไปเป็นอะไร

แล้วหมอก็ถามเราว่าจะผ่าวันไหนเราก็ตกใจเล็กน้อย เลือกวันผ่าได้ด้วย
ก็แล้วแต่เราจะผ่าวันไหนจะผ่าวันนี้พรุ่งนี้ก็ได้...ก็เลยขอเป็นหลังกฐิน เพราะอยากจะทำบุญก่อน
ก็เลยได้คิวผ่าวันที่ 27 ธันวาคม 2554

และแล้วเวลาก็ผ่านไป จนถึงกำหนดผ่า..ต้องเข้ารพ.ตั้งแต่วันที่ 26 ธค เช้า เพื่อไปพบหมอก่อน
หมอก็ตรวจร่างกาย..ให้เราทำแบบทดสอบต่างๆ เพื่อดูการทำงานของสมองเช่นให้บวกลบเลข
งัดข้อกับหมอ..ทดสอบการมองเห็น..ทดสอบหลายอย่างอ่ะจำไม่ค่อยได้
แล้วมีเรื่องสงสัยอะไรก็ถามหมอ
หมอก็บอกว่าผ่าตัดสมองนะ..บางคนก็อยู่รพ.ตลอดชีวิต...บางคนก็ไม่ฟื้น
(พูดมาเลยหมอ เตรียมใจไว้นานแล้ว...เราอยากให้หมอบอกความจริงไปเลยมากกว่า เพราะจะได้เตรียมตัวได้ถูก
แต่ตอนหมอบอกหมอก็แสดงท่าทีลำบากใจที่จะพูด)

แระพอตอนเที่ยงๆ ก็พาบรรดาคนเฝ้าไข้ไปถ่ายรูปเล่นกันก่อน...วันนั้นอากาศดีด้วยที่รพ.เป็นวังเก่า
ก็เลยได้วิวสวยๆ..















admit ตอนบ่าย 2 กว่าๆ...พยาบาลมาเจาะเลือดไปตรวจ HIV และก็ดูผลค่าเลือด
โพแทสเซียมต่ำ เลยต้องกินยาอะไรไม่รู้เป็นน้ำรสชาติฝาดๆ เพิ่มโพแทสเซียม...
จะเกี่ยวกันมั้ยวันนี้พาบรรดาคนเฝ้าไข้ไปเดินเที่ยวรอบรพ.มากด้วย...>.<~

พอพยาบาลไปก็คุยกับบรรดาคนเฝ้าไข้ว่าจะออกไปหาไรกินข้างนอกกำลังจะไปเปิดประตู
หมอกำลังเปิดแฟ้มอยู่หน้าประตู
เราต้องรีบกลับขึ้นไปนั่งบนเตียงทั้งๆที่ยังไม่ได้เปลี่ยนชุดคนไข้ หมอกรูกันเข้ามานับได้ 9 คน เป็นอ.หมอ 2 คน
ตกใจเหมือนเด็กที่โดนจับได้ว่าจะออกไปเที่ยว..แล้วคนที่จับได้เป็นหมอตั้ง 9 คน... O.O
อ.หมอสิรรุจน์บอกว่ามันไม่ใช่เนื้องอก มันเป็นเหมือนเส้นเลือดขอด
หมออยากจะให้ถามเรื่องที่สงสัย...สำหรับเราไม่มีไรถามแล้วอ่าา..ถามไปตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว
เลยแซวเล่น ทำไมหมอเยอะยังเลยอ่าาา...


มีประสบการณ์ไม่ค่อยดีกับรพ.เอกชนดังๆมาก...เลยไม่ชอบเอาซะเลย....
อย่างสมิติเวชสุขุมวิท เหมือนมันไม่ค่อยมีหมอ แค่หวัดธรรมดา มีเรากับอีกคน รอเป็นชม. ยานิดหน่อยพันกว่าบาท
บํารุงราษฎร์...มันจะให้ตรวจนั่นนี่ที่ไม่จำเป็น เลี้ยงไข้..
ตอนเลือกที่นี่ก็ไม่รู้เหรอนะว่ามีหมอดี...ก็ว่ามีสายสัมพันธ์กับทหารเลยรักษาที่พระมงกุฎเกล้ามาตั้งแต่ไหนแต่ไร...
ที่นี่มีห้อง superior /deluxe ^0^ ชอบบบบบบบบ

หมอดีๆ เก่งๆ ส่วนใหญ่อยู่รพ.รัฐทั้งนั้น คนเยอะก็ไม่เป็นไร เห็นใจเราก็ป่วยด้วยกัน
ที่นี่คิวผ่า คิวตรวจเครื่องแพงๆก็ไม่ยาวด้วยนะ.ไม่รู้ทำไม ตอนตรวจ MRI คิวแค่ 7 วันเอง
ตอนรักษาหูเมื่อปีที่แล้ว...นึกว่าหมอโม้ว่าใช้ยาที่ดีที่สุดในประเทศนี้มีแค่ที่นี่กับที่รามา...มาสืบดูทีหลังสงสัยจะจริงอย่างที่หมอว่า ^0^

สรุปเราก็เลยไม่ได้ออกไปข้างนอกแล้ว เดี๋ยวคงมีพยาบาลอะไรมาดูอีก แล้วจะไม่เห็นเรา ก็เลยไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดคนไข้

พอหมอออกไปสักพักก็มีเจ้าหน้าที่แผนกวางยาเข้ามาถามประวัติเช่นแพ้ยาอะไร ประจำเดือนมาเมื่อไหร่
พรุ่งนี้ผ่าตอนเช้า 9 โมงเป็นเคสแรก

เดี๋ยวๆพยาบาลก็มาอีก พรุ่งนี้ผ่าตอนเช้า 9 โมง บอกให้อาบน้ำแต่งตัวให้เสร็จตั้งแต่ 7 โมง เพราะ 8 โมงกว่าๆจะมาเสียบน้ำเกลือและก็ยากันชัก...และให้อดน้ำอาหารตั้งแต่เที่ยงคืน

เวลาก็ผ่านไปถึงเช้าวันผ่าแล้ว 27 ธันวาคม 2554
ทุกสิ่งทุกอย่างได้เตรียมเอาไว้แล้ว...ถ้าหากว่าเราไม่ฟื้นขึ้นมา...
เตรียมตัวเตรียมใจไว้ตั้งแต่รู้ผลสแกนสมองแล้ว ก็เลยพอมีเวลาเตรียมตัว
หลายครั้งเราก็บอกคนรอบข้างเป็นนัยๆที่ประหนึ่งว่าเป็นคำสั่งเสียนั่นแหละ..แต่เขาอาจไม่รู้
เพราะเราอาจไม่ฟื้นขึ้นมาอีก

รับไตรสรณคมณ์และสมาทานศีลเรียบร้อย...ถ้าหากว่าเราจะไปก็จะไปอย่างคนมีศีล

ออกมานั่งที่ระเบียงห้องดูวิวหน่อย























เห็นเจดีย์ภูเขาทองอยู่ำไม่ไกล ระลึกถึงพระพุทธเจ้าเราจำได้ว่าเราเคยไปประทักษิณ บูชาด้วยน้ำหอมด้วย

พอได้เวลาพยาบาลก็มาเสียบน้ำเกลือขวดนึงยากันชักอีกขวดนึง...แล้วก็มีเจ้าหน้าที่เอารถเข็นมารับ
ลงไปที่ชั้น 8 แยกจากบรรดาคนเฝ้าไข้ที่หน้าห้อง...เขาก็ย้ายให้เราขึ้นไปนอนบนเตียงแล้วก็เข็นเราเข้าไปพัก
ตรงห้องที่รวมคนไข้ที่รอผ่า เป็นเตียงติดๆ กันหลายเตียง พอดีป้าเตียงข้างๆหันมาก็เลยหันไปยิ้ม
บรรยากาศยังไงบอกไม่ถูก ทุกคนกำลังรอขึ้นเขียง..งือๆๆ ส่วนใหญ่ก็นอนหลับด้วยความสงบ

แล้วอีกพักพยาบาลก็เข็นเตียงเราออกไปยังห้องผ่าตัด...แล้วก็ให้เราขึ้นไปนอนบนเตียงผ่าตัดแคบๆเล็กๆขนาดพอดีตัว
แล้วพยาบาลก็เอาผ้าเขียวมาห่มให้..แล้วก็เอาติดตัวสัญญาณที่วัดคลื่นหัวใจที่เนินอก (อายอิบหาย >.<~)
แล้วก็ถอดเสื้อผ้าเค้าด้วย...กลัวอ่ะจะทำอะไรเค้าบ้าง >.<~...ต้องถอดเสื้อผ้าด้วยเหรอ
แล้วก็เอาหน้ากากอ๊อกซิเจนมาครอบซักพัก..ภาพมันก็หายไปเลย..ไม่ใช่ว่าจะค่อยๆง่วงนะ

ณ ห้อง ICU...
ฟื้นขึ้นมาตอนเย็นๆ พยาบาลมาจับมือบอกว่าตอนนี้ 4 โมงเย็นผ่าเสร็จแล้วนะคะ..ก็นึกถึงว่าสุดท้ายนี้เราอยู่ที่ไหน
จำได้ภาพสุดท้ายกำลังดมหน้ากากออกซิเจน..
รู้สึกหัวมันแน่นๆ สำรวจตัวเอง มีสายอะไรไม่รู้เต็มไปหมด..เท่าที่เห็นมีสายน้ำเกลือต่อมาเข้าที่เส้นเลือดที่แขนล่ะ
มีท่อหายใจต่อจากปากลงไปที่คอไปถึงปอด
มีสายที่ต่อเลือดเสียจากหัวเห็นเลือดตัวเองออกมาเป็นขวดๆ เลย..
มีตัวที่มาสวมไว้ที่นิ้วน่าจะเป็นเครื่องที่เกี่ยวกับการเต้นของหัวใจอ่ะ
และก็ที่ขาข้างซ้ายมีเข็มเสียบปลั๊กฉีดยาที่เหมือนปลั๊กฉีดยาที่แขนไว้ด้วย

อีกสักพักก็อาเจียนเลย..ใจจะขาดอีกเหมือนกัน..แล้วก็ตื่นมาอีกทีมีท่อต่อจากจมูกลงไปที่คอหอยลงไปถึงกระเพาะ ไม่รู้เอามาใส่ไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่

อยู่ห้องICU ก็จะตื่นเป็นพักๆ อ่ะ ตื่นตอนหมอมาดู ตอนพยาบาลมา
เห็นบรรดาคนเฝ้าไข้ยืนอยู่ที่หน้ากระจกนอกห้องด้วยแต่พูดไม่ได้ ท่อมันเสียบที่คอหอย
เวลาจะถามอะไรพยาบาลก็จะใช้มือเขียนที่หน้าขาถามเอา
เวลาพี่สาวเข้ามาเยี่ยม พยาบาลบอกให้จับมือ
เรารู้สึกตัวนะ เห็นด้วยว่าใครมาบ้าง แต่พูดไม่ได้


ทุกข์ทรมานในห้อง ICU มากกับท่อหายใจที่ต่อจากปากลงไปที่ปอดรู้สึกตัวทีไรก็จะขาดใจกับท่อนี้ทุกที
นอนหงายหรือนอนตะแคงมันก็ทิ่มคอหอย นึกแต่ว่าเมื่อไหร่หมอจะเอามันออกไปที ทรมานเหลือเกิน ใจจะขาด
เลยเข้าใจคนที่กินอาหารทางสายยางเป็นยังไง
นอนหงายตะแคงซ้ายอย่างเดียว เมื่อยไหล่คอมาก...
ตะแคงขวาไม่ได้ทับแผล...ต้องเปลี่ยนท่านอนบ่อยๆด้วยไม่งั้นแผลกดทับ

หมอมาดู ทักว่า ไมหายใจน้อยจัง...หมอมาอีกที เราก็ทำมือให้เอาท่อหายใจนี้ออก...
หมอบอกว่าเดี๋ยวคืนนี้จะลำบากเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาเอาออก
หมอมาดูอีกที ก็ทักว่า หน้าซีดจังเลย...เดี๋ยวให้เลือดเพิ่มอีกถุงนึงนะ
ไม่รู้ว่าเวลาให้เลือดเขาเอาเลือดเข้าทางไหน เราก็สะลึมสะลือ

(แง่ๆๆ เมื่อไหร่จะเช้า...นับถอยหลังเลย..อยากเอาท่อหายใจนี้ออกเต็มแก่แล้ว..)

หมอมาดูอีกทียื่นมือมาให้จับข้างซ้าย แล้วเดินอ้อมมาให้จับด้านขวา(อ๊าย..ได้จับมือผู้ชายด้วย คิกคิก ^0^)
สั่งให้ยกแขนซ้าย-ขวา ยกขาซ้าย-ขวา

พยาบาลก็เอาไฟฉายมาส่องตา...แล้วก็ตอนที่มาดูดเสมหะเนี่ยใจจะขาดเหมือนกัน เอาท่อมาแหย่ลงไปที่คอหอย
ใช้น้ำยาที่รสชาติยังกะน้ำยาบ้วนปากกลั้วคอ...ในคอเราก็มีท่อหายใจ/ท่อที่จมูก/แล้วก็ท่ออันนี้อีก >.<~

และแล้วก็เช้า ตอนพยาบาลดึงท่อหายใจออก มันโล่งมากกก ดีใจๆๆๆ

แล้วก็ได้ย้ายออกจาก ICU กลับไปที่ห้อง ตอนประมาณ 10 โมงเช้า...

แล้วอ.หมอสิรรุจน์กับหมอผดุงชาญก็มาดูที่ห้อง หมอเอาท่อที่ต่อลงกระเพาะออก..เอาออกแล้วโล่งมาก
ถามหมอว่าผ่ากี่ชม.หมอบอกหลายชม.เอาสมองดีกับเส้นเลือดดีไว้
หมอดึงเอาท่อที่ต่อเลือดเสียจากหัวออกให้ด้วย
แต่หมอบอกว่าพอดึงออกแล้วหน้าจะบวม..เพราะของเหลวจะไหลลงมา
ทำให้หน้าบวม แต่ก็จะบวมอยู่ประมาณ 3-4 วัน ระบบของร่างกายจะดูดกลับรักษาสมดุลเอง
แซวหมอเล่น ว่า หมอพยาบาลหน้าตาดีเลยฟื้นตัวเร็ว คิกคิก ^W^

พยาบาลบอกว่าให้กลั้วคอด้วยน้ำอุ่นบ่อยๆ ทำให้คอชุ่มชื่น เพราะคอเราเพิ่งจะถอดท่อหายใจไป

พยาบาลจะมาวัดไข้ วัดความดัน ฉีดยา เจาะเลือดวัดน้ำตาลในเลือด มาบ่อยมาก

ยังมีรอยเข็มจิ้มที่หลังเท้าข้างขวา 13 รู ที่หลังเท้าข้างซ้ายอีก 10 รูด้วย ตรงข้อพับแขนทั้งสองข้างไม่ต้องพูดถึงช้ำเป็นจ้ำเลือดเลย
ออกมาจากห้องผ่าตัด ฟกช้ำดำเขียวเต็มไปหมดเลย ที่ข้อแขนฟกช้ำเป็นทางยาว

ออกจากห้อง ICU แล้วไข้ขึ้นหมอเลยให้ไป x-ray ปอด เจาะเลือดไปเพาะเชื้อ
ดีที่ 2-3 วันไข้ลด เลยกลับบ้านได้ ไม่งั้นคงได้อยู่ยาว

พอดึงท่อเลือดออกหน้าบวม พยาบาลให้ใช้เจลประคบเย็นมันจะได้ยุบเร็วๆ















หมอนอันนี้ของเจ๊หมวยให้มาเป็นของขวัญ ฝากคนมาบอกว่าให้หายเร็วๆ เลยเอามาใช้วางแขนแกจะได้ดีใจ

ตอนหมอผดุงชาญมาดูแผล หมอยื่นมือมาให้จับ(อ๊าย..ได้จับมือผู้ชายอีกแล้ว คิกคิก ^0^)
จับคอเราก้ม เรายังก้มคอไม่ได้
ดูหมอเขาเป็นผู้นำดีนะ

0













หมอมาแต่เช้าเลย 6.30 น. เลยถามว่าหมอว่าตื่นกี่โมง หมอบอกยังไม่ได้นอนเมื่อคืนมีผ่าตอนตี 1 เสร็จตี 4

พอหมอมาดูแต่เช้า วันต่อมาพี่สาวก็ปลุกเราแต่เช้าให้แปรงฟันเช็ดตัวเดี๋ยวเวลาคุยกับหมอแล้วปากเหม็น
เราก็พยายามแปรงนะ อ้าปากกว้างๆไม่ได้ปวดเสียวไปถึงขมับเวลากินข้าวด้วยช้อนเล็กๆ
หมอมาดูหลายคนอ่ะ รู้จักได้ไม่หมดอ่ะ

ที่หัวข้างที่ผ่าเหมือนหมอทายาเคลือบไว้คล้ายเล็กเกอร์เลย..แระก็ที่หัวมีรอยเหมือนเข็มยึด 3 รู ที่หน้าผาก 2 รู ตรงขมับฟกช้ำด้วย
แผลยาว 29 cm. เย็บแม็ค 40 ตัว เอง ฝืมืออ.หมอสิรรุจน์แผลสวยมาก
ตอนแรกเราก็นึกว่าหมอจะใช้ไหมเย็บแล้วมันจะเป็นแผลเป็นนูนๆ น่าเกลียด
หมอบอกว่าใช้แม็กมาเป็น 10 ปีแล้วราคาแพงกว่าไหมอีก
อ.หมอสิรรุจน์และทีมงานเก่งมาก ดูท่าแผลเป็นจะเล็กมาก เพราะตอนนี้ผมขึ้นตรงรอยมีดแล้ว














และแล้วอาการก็ค่อยๆดีขึ้น ไข้ลดพอดี..หมอเลยให้กลับบ้านได้
ได้ออกจากรพ.วันที่ 1 มค 2555

หมอนัดมาเอาลวดออกวันที่ 4 มค 2555

ปีใหม่เห็นพวกเซลล์ขายยาเอากระเช้ามาให้หมอเต็มเลย มากันแต่เช้าด้วย
อ.หมอสิรรุจน์ยังหนุ่มอยู่เยย พูดเพราะมากกกกกก
คนไข้ก็ชวนหมอคุย คริคริ
อ.หมอสิรรุจน์เกิดปีเดียวกับอภิสิทธิ์ หมอหล่อด้วย อ๊างงง ^0^
ถามหมอว่าหมอทำหลายรพ.ไม่เหนื่อยเหรอ หมอบอกว่าก็ทำเท่าที่มีแรง
แซวหมอเล่น ว่าไม่รู้ว่าหมอจะเสียใจหรือเปล่า...ดีใจนะที่ได้เจอหมอ แต่ก็ไม่อยากเจอหมอบ่อยๆ...
แซวอ.หมอสิรรุจน์ว่าหมอก็ชมฝีมือตัวเองจิว่า..พอผมขึ้นก็ดูไม่รู้แล้วว่าผ่าสมองมา...
แต่ดูท่าแล้วอ.หมอสิรรุจน์ฝีมือดีเก่งมากจริงๆ

ตอนอ.หมอสิรรุจน์เอาแม็กออกหมอมือเบามาก เจ็บเหมือนถอนผม เลยชมหมอว่า
หมอมือเบาจังเลย...หมอก็บอกว่าผ่าสมองนี่จ๊ะไม่ใช่ผ่าขา

คืนวันผ่าเสร็จอ่ะ มีเลือดออกเล็กน้อย...พยาบาลถามว่าใช่ประจำเดือนหรือป่าว เราก็บอกว่าไม่ใช่เพราะเดือนนี้มาแล้ววันที่ 6
แล้วนี่ยังไม่ถึงกำหนดเลย...เริ่มจะเครียดเล็กน้อยแล้ว...แล้วมาอย่างนี้ต่อเนื่องทุกวันแต่มันนิดเดียวไม่มากเหมือนประจำเดือน
ก็เลยเครียดเลย..เป็นอะไรไม่รู้...หรือหมอทำอะไรเค้า >.<~ เค้ายังไม่เคยมีสามีเลย...ตอนผ่าพยาบาลถอดเสื้อผ้าเค้าด้วย >.<~
ก่อนที่จะดมยาอ่ะ เอาผ้าเขียวมาปิดไว้แล้วก็ถอดอ่ะ ก็กลัวจะทำอะไรเค้าบ้าง >.<~

พอเจออ.หมอสิรรุจน์วันที่ 4 มค ก็เลยบอก หมอบอกว่าก็ประจำเดือน..ถามว่าไมมาก่อนตั้งเป็นอาทิตย์ หมอบอกว่าก็ความเครียดไง
หลังจากนั้นวันที่ 5-6 ก็มามากเป็นประจำเดือนเลย...เพิ่งรู้ว่าตัวเองแอบเครียด >.<~

ตอนนี้หูยังเหมือนเดิมนะเพราะมันเป็นที่สมอง ต้องรอให้แผลข้างในดีก่อนแล้วค่อยดูอีกที
ผลชิ้นเนื้อยังไม่ออก หมอนัดอีกทีวันที่ 1 กพ

กลับมาพักฟื้นที่บ้าน
ตอนนี้ที่บ้านระมัดระวัง ไม่ให้ลื่่นล้มหัวฟาดในห้องน้ำ หรือไม่ให้ใครมาโดนหัว
ตอนนี้ยังปวดหัวแบบมึนๆ อยู่อ่ะ ปวดแบบตึงๆตรงแผลด้วย
ตอนนี้โกนหมดแล้วเป็นแม่ชีน้อย เวลาออกข้างนอกต้องใส่หมวกไหมพรมไม่ให้ฝุ่นลง แล้วก็เราได้ไม่ไปเกาแผลด้วย
นึกอยากออกไปเดินห้างเปิดหัวเล่น อิอิ ท่าทางจะสนุก

ตอนนี้กินของแสลงไม่ได้อีกเป็นปี เพราะว่าแม้แผลภายนอกจะติดดี แต่ข้างในอาจเป็นหนองได้
ญาติผู้ใหญ่ห้ามไม่ให้กินไข่ เพราะเคยมีคนรู้จักผ่าที่ท้องอ่ะ แม้ผ่านไปปีกว่าแล้วกินไข่เข้าแล้วเป็นฝีข้างใน
เราก็เชื่อฟังผู้ใหญ่ล่ะกันเพื่อความสบายใจของเขา ห้ามกินกะทิ ไก่ ไรงี้ด้วย

เหมือนกล้ามเนื้อที่คิ้วข้างที่ผ่ายังไม่ทำงานยกคิ้วไม่ได้
รู้สึกชาๆที่หนังหัวข้างที่ผ่า เอามือไปเกาดูแล้วไร้ความรู้สึก

รู้สึกว่ากระดูกตรงแถวๆโหนกที่หน้าผากข้างที่ผ่า มีจุดที่มันแหลมๆหน่อยนึงอ่ะ อาจจะเป็นลวดที่ยึดกะโหลก
ไว้เจอหมอแล้วค่อยถาม

จริงๆอยากเจอหมอปานเทพอีกนะ หมอขาวอวบน่ากอด หมอดูสุภาพมาก หมอเรียกชื่อเราด้วยน้ำเสียงหวานเชียว
เคยลืมตัวขานตอบว่า จ๋าาาาา
นึกขำหมอปานเทพเหมือนกันนะ..ที่พูดให้กำลังใจก่อนที่จะให้ไปสแกนสมองว่า
หมออยากจะให้แน่ใจ...แต่ก็มีโอกาสเป็นน้อยมากๆ
ว่าจะโผล่หัวไปให้ดู แล้วบอกว่านี่ไงผลงานของหมอที่สั่งให้ไปสแกนสมอง
ชอบมองหน้าหมอเวลานั่งดูกราฟแล้วทำหน้าครุนคิด..ดูหมอเป็นคนละเอียดถี่ถ้วนดี

ตอนนี้แข็งแรงขึ้นประมาณ 70% แล้ว แต่ถ้าหากว่าเดินมากๆ จะวิงเวียน
และออกงานข้างนอกได้แค่ครึ่งวันก็ต้องพักแล้ว

อีกนิดนึงเวลาไปรพ.เราจะชอบไปเข้าห้องน้ำที่ชั้น 6 เพราะว่าแผนกหู คอ จมูกอยู่ชั้นนี้
ป้าแม่บ้านที่ดูแลห้องน้ำชั้นนี้บริการดีมาก ยิ่งกว่าในโรงแรมซะอีก
ห้องน้ำของป้าแกสะอาดเอี่ยมอ่องมาก...และป้าแกก็จุดพวกเครื่องหอมอะไรแบบนี้ไว้ในห้องน้ำด้วยนะ
ไปหาหมอบ่อยจนป้าแม่บ้านที่นี่จำได้
วันที่เข้า admit ป้าแกก็ทัก...เราก็บอกว่าคราวนี้มานอนค่าาา ^0^


 อัยยะหมอเข้ามาอ่านเจอจนได้ ไหนๆก็ไหนๆ   มีตอนต่อไปด้วยนะค่ะ หมอจะได้รู้ว่าคนไข้นินทาอะไร

ไว้บ้างอิอิ

หาหมอ 1 กุมภาพันธ์ 2555
http://dhammavoice.blogspot.com/2012/02/1-2555.html
หาหมอ 1 สิงหาคม 2555 ...ผลสแกนสมอง ตรวจ MRI หลังผ่า
http://dhammavoice.blogspot.com/2012/08/1-2555-mri.html

หาหมอ 25 กันยายน 2555 ....หมอไม่นัดแย้ว
http://dhammavoice.blogspot.com/2012/10/25-2555.html

ตอนนี้ยังสืบไม่ได้เลย หมอที่ดูแลตอนอยู่ใน ICU คืนนั้นมีใครกันบ้าง
เห็นหน้าไม่ชัด สะลืมสะลือด้วย





4 comments:

Unknown said...

ร.พ. อะไรรึคะ

Unknown said...

พระมงกุฎ

Unknown said...

พอดีเพิ่งผ่าตัดเนื้องอกในสมองเมื่อ26/12/56นี้ จึงอยากถามว่าคนป่วยอาการเป็นปกติหรือยัง ผ่านมาแล้ว 2 ปี.

journey said...

พอดียุ่งๆ นะค่ะ เลยไม่ค่อยได้มาเช็คคอมเม้นท์ ตอนนี้ร่างกายแข็งแรงดีค่ะ ยกเว้นเรื่องการได้ยินที่หูด้านขวาได้ยินลดลงประมาณ 50% แต่ก็ทำงานใช้ชีวิตได้ปกติค่ะ ใช้หูด้านซ้ายฟังเอา