Sunday, November 15, 2009

เอาบุญมาฝากจ้า...สังฆทาน...Daddy Dough















มิตรแท้ในปรโลก

ปกิณกธรรม

เรื่อง : พระมหาเสถียร สุรณฺณฐฺิโต ป.ธ. ๙ / พระมหาวิริยะ ธมฺมสารี ป.ธ. ๙

มหาสมุทร เป็นศูนย์รวมของสายน้ำทั้งหลาย บุญก็เป็นศูนย์รวมของความสุขและความสำเร็จ ทั้งมวลของชีวิต บุญเป็นแก้วสารพัดนึกที่จะบันดาล ทุกอย่างให้เราสมความปรารถนาในทุกสิ่ง ถ้าเราปรารถนาความสุขความสำเร็จข้ามชาติ จะต้องรู้จัก วิธีเปลี่ยนโลกิยทรัพย์ให้เป็นอริยทรัพย์ ด้วยการนำออกมาทำทาน ถือเป็นการากทรัพย์ไว้ตามหลัก พุทธวิธี ที่สามารถติดตามตัวเราไปข้ามภพข้ามชาติ ให้ออกดอกออกผลเป็นรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญสุข และมรรคผล นิพพาน ทันทีที่เราตัดความตระหนี่ออกจากใจ ละทรัพย์ทำบุญทำทาน ทรัพย์นั้นก็จะแปรเปลี่ยน เป็นทรัพย์ละเอียด ซึ่งจะอำนวยสุขในทุกสถานทั้งในโลกนี้และโลกหน้า การหมั่นสั่งสมบุญเป็นวิสัยทัศน์ของผู้ไม่ประมาท เป็นวิธีเตรียมตัวตายที่ถูกต้อง และปลอดภัยที่สุด เพราะเราไม่รู้ว่าจะหมดลมหายใจ เมื่อไร และถึงแม้หมดสิทธิ์หายใจแต่ก็ยังได้สิทธิ์ไป เสวยสุขในสวรรค์อีกต่อไป

ในสมัยพุทธกาล มีพระเถระ ๓ รูป จำพรรษาในอาวาสแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไกลจากพระวิหารเวฬุวัน เมื่อออกพรรษาแล้ว ได้ชักชวนกันไปเฝ้าพระสัมมา สัมพุทธเจ้าที่พระวิหารเวฬุวัน กรุงราชคห์ ขณะที่ พระเถระทั้ง ๓ รูป เดินทางผ่านไร่อ้อย คนเฝ้าไร่
ผู้มีจิตใจงดงามเห็นพระภิกษุเดินทางผ่านมาก็ดีใจ รีบออกไปต้อนรับ ครั้นทราบว่าพระเถระกำลังเดินทาง เพื่อจะไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความห่วงใย และอยากได้บุญ จึงกราบเรียนท่านว่า "กรุงราชคฤห์ อยู่ห่างจากที่นี่มาก ถ้าเดินทางด้วยเท้าก็ต้องใช้เวลา เดินทางอีกพอสมควร ที่พักระหว่างทางก็หายาก ขอนิมนต์พระคุณเจ้าพักที่ไร่แห่งนี้สักคืนหนึ่งเถิด โยมจะขอรับบุญอุปัฏฐากพวกท่านเอง พรุ่งนี้ค่อย เดินทางต่อเถิดพระคุณเจ้า"

พระเถระทั้ง ๓ รูป จึงรับนิมนต์ เพราะเห็นว่า คนเฝ้าไร่แม้จะยากจน แต่ก็ไม่แล้งน้ำใจ คนเฝ้าไร่ ดีใจมากที่พระเถระทั้ง ๓ รูป เมตตาอยู่เป็นเนื้อนาบุญ จึงรีบไปเอาน้ำอ้อยมาถวาย จากนั้นจึงนิมนต์ท่าน เข้าไปจำวัดในที่พัก

พอรุ่งเช้า คนเฝ้าไร่รีบตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อถวาย ภัตตาหาร เมื่อพระเถระฉันเสร็จแล้ว ก็แนะนำให้เขา หมั่นนึกถึงบุญบ่อย ๆ และให้ใจอยู่ในบุญจะได้ช่วย หนุนนำให้พ้นจากความยากลำบาก เพราะสิ่งที่เขาทำถือว่าเป็นกาลทาน คือ ได้ถวายการต้อนรับภิกษุ
ที่มาจากทิศทั้งสี่ และการถวายทานแด่ภิกษุผู้เตรียมจะไปนั้น ได้ชื่อว่าปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสเอาไว้ว่า

" ผู้มีปัญญา รู้ความประสงค์ของผู้มาเยือน ปราศจากความตระหนี่ ย่อมให้ทานในกาลที่ควรให้ ผู้ให้ทานตามกาลในพระผู้ปฏิบัติตรง ผู้มีใจผ่องใสมิตรแท้ในปรโลก แม่น้ำทั้งหลายย่อมไหลลงสู่มหาสมุทร ฉันใด ท่อธารแห่งบุญย่อมหลั่งไหลสู่นรชนผู้ให้ข้าว น้ำ เครื่องนุ่งห่ม ที่นอน ที่นั่ง ฉันนั้น ทานย่อมมีผลไพบูลย์ จะส่งผลใหญ่นับประมาณมิได้ เพราะฉะนั้น ผู้ปรารถนาบุญควรให้ทานในบุญเขต ที่มีผลมาก บุญทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ ทั้งหลายในปรโลก"

คนเฝ้าไร่ฟังสัมโมทนียกถาจากพระเถระแล้ว ก็เกิดมหาปติในบุญที่ได้ต้อนรับพระอาคันตุกะ เขา ได้ถวายอ้อยแด่พระเถระทั้ง ๓ รูป ที่กำลังจะออกเดินทาง ซึ่งอ้อยที่เขาถวายไปนั้นเป็นอ้อยของเขาเอง เขาได้เดินไปส่งพระเถระ แล้วกลับมาเฝ้าไร่อ้อยด้วยความปลื้มปติในบุญ

ขณะเดียวกัน พราหมณ์ผู้เป็นมิจฉาทิฐิซึ่งเป็นเจ้าของไร่อ้อย กำลังเดินทางไปไร่ ได้เห็นอ้อยในมือ ของพระเถระทั้ง ๓ รูป ที่เดินสวนทางมา จึงถามว่า "พวกท่านได้อ้อยมาจากไหน" เมื่อรู้ว่าคนเฝ้าไร่เป็น ผู้ถวายมาก็โกรธมาก เพราะพราหมณ์คิดว่าคนเฝ้าไร่ ขโมยอ้อยในไร่ไปถวายพระเถระ จึงรีบเดินไปที่ไร่อ้อย พอไปถึงก็ไม่ได้ซักถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น คว้าท่อนไม้ ได้ก็เดินไปทางด้านหลังของคนเฝ้าไร่ แล้วฟาดท่อนไม้ลงบนศีรษะเขาอย่างแรง ทำให้คนเฝ้าไร่ เสียชีวิตทันที ในขณะที่เขากำลังนั่งระลึกนึกถึงบุญอยู่ แม้ตายแล้วก็มีสติรู้ว่าตัวเองตาย ไม่ได้รู้สึก โกรธแค้นเจ้าของไร่เลย ในใจนึกถึงแต่บุญเพียงอย่างเดียว ทำให้เขาไปบังเกิดในสุธรรมาเทวสภา มีช้างพลายทิพย์เป็นยานพาหนะ ซึ่งบังเกิดขึ้นด้วย บุญญานุภาพของเขา

ฝ่ายพ่อแม่และหมู่ญาติของคนเฝ้าไร่ ได้ข่าวการตายของเขาก็เสียใจ ร้องไห้ฟูมฟายด้วยความสงสาร เย็นวันนั้น เพื่อนบ้านได้พากันไปมุงดูศพ แล้วช่วยกันหามไปทำฌาปนกิจในปาช้า ขณะนั้นเทพบุตร ใหม่ได้ขี่ช้างทิพย์แวดล้อมด้วยเทพผู้ชำนาญในการ บรรเลงดนตรีลงมาจากเทวโลกพร้อมด้วยบริวาร จำนวนมากด้วยเทพทธิ์ยิ่งใหญ่ ปรากฏกายในอากาศให้ประชุมชนนั้นเห็นเป็นบุญตา

ชาวบ้านเห็นแล้วก็ตื่นเต้นดีใจ ต่างชี้ชวนกันดูช้างตัวใหญ่ที่มีเทพบุตรนั่งอยู่ด้านบน ฟังทิพยบรรเลง ที่ไพเราะจนลืมความโศกไปทันที ชาวบ้านพากันถามเทพบุตรว่า "ท่านเป็นใคร เป็นเทวดาหรือคนธรรพ์ หรือเป็นท้าวสักกะ จึงได้มีช้างเผือกเป็นยานทิพย์ มีดนตรีประโคมกึกก้อง ฉลองกันอยู่ในอากาศ"

เทพบุตรได้ตอบกลับไปว่า "ข้าพเจ้าไม่ใช่คนธรรพ์ ไม่ใช่ท้าวสักกะ ข้าพเจ้าเป็นเทพองค์หนึ่ง ในบรรดาเหล่าเทพที่ชื่อสุธรรมา" พวกเทพสุธรรมา ก็คือเทพบุตรผู้เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลสุธรรมาเทวสภาในสวรรค์ชั้นดาวดึง ค์นั่นเอง
เทพบุตรได้บอกบิดามารดาและหมู่ญาติว่าตัวเองก็คืออดีตคนเฝ้าไร่ อ้อย แม้จะถูกตีตาย แต่ก็ ไม่ตายจากความดีที่ได้ทำบุญไว้กับพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า จากนั้นจึงเล่าบุพกรรมที่ได้ทำ ก่อนตายให้ทุกคนได้อนุโมทนาบุญ แล้วประกาศคุณของพระรัตนตรัยให้เห็นประจักษ์ และชักชวนให้ทุกคนได้ทำบุญกับภิกษุสงฆ์ เพราะเป็นเนื้อนาบุญอันเลิศของโลก

เมื่อ ชาวบ้านได้ฟังคำของเทพบุตรแล้ว ก็เกิดความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย จึงไปถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์ โดยมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข และได้กราบทูลเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ทรงทราบ พระบรมศาสดาจึงทรงแ สดงธรรมให้มหาชนตั้งอยู่ในศีล เมื่อกลับไปชาวบ้านก็ได้ช่วยกัน สร้างวิหารบริเวณที่คนเฝ้าไร่ถูกฆ่าตาย เพื่อเป็นอนสรณ์สถาน ให้กับเขา บุญนั้นได้หนุนส่งให้เทพบุตรมีวิมาน ว่างสไ วยิ่งขึ้นไปอีกส่วนชาวบ้านเมื่อสั่งสมบุญอยู่เป็นนิตย์ ละโลกแล้วก็มีสุคติเป็นที่ไปกันถ้วนหน้า

ท่าน สาธุชนทั้งหลาย ความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ที่น่ากลัวคือตอนยังมีชีวิตแต่ไม่คิดทำความดี ต่างหาก ในทางตรงกันข้ามถ้าเราหมั่นสั่งสมบุญไว้ดีแล้ว แม้ต้องตายจากโลกใบนี้ไป แต่จะมีชีวิตใหม่ที่สดใสกว่าเดิม บุญเท่านั้นเป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ทั้งหลายในปรโลก เวลาเราตายก็ไม่สามารถนำอะไรติดตัวไปได้เลย มีเพียงบุญเท่านั้นที่จะหนุนนำให้เรา เข้าถึงความเป็น หายของเหล่าทวยเทพ

ขณะ เดียวกัน ความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นในชีวิต มักเกิดจากความผิดพลาดในอดีต ซึ่งเป็นวิบากที่คอย ติดตามเราเหมือนเงาตามตัว ถ้ากำลังบุญเราหย่อน กำลังบาปก็ได้ช่องส่งผล เราจึงประสบกับอุปสรรคในการดำเนินชีวิต ผู้ที่มีกำลังใจสูงเมื่อประสบกับปัญหาก็จะไม่ตีโพยตีพาย ไม่โทษว่าบุญไม่ช่วย และจะไม่โทษใครทั้งนั้น แต่จะมีสติ ใช้ปัญญาหาวิธีแก้ไข ด้วยใจที่สงบ หาทางเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสและ จะเร่งสั่งสมบุญให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อเอาบุญไปสู้ กับบาป


บุญ จะช่วยตัดรอนวิบากกรรม จากหนักเป็นเบา เบาเป็นหาย แม้ตายก็ไปดี จากที่เคยยากจน ก็จะก้าวข้ามไปสู่ความเป็น คนจนยาก จากไม่มีอันจะกิน ก็จะมีเหลือกินเหลือใช้

อีกประการหนึ่ง ชีวิตคนเรานั้นจะถูกชิงช่วง ระหว่างความเป็นและความตาย ระหว่างบุญและ บาปเสมอ เพราะฉะนั้น เมื่อโอกาสแห่งการสั่ง สมบุญ มาถึงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบุญเล็ก บุญใหญ่ หรือบุญ อะไรก็ตาม อย่าได้ลังเลใจ อย่ามัวมีข้อแม้ ข้ออ้าง และเงื่อนไข ให้รีบใช้สิทธิ์นั้น ก่อนที่จะหมดสิทธิ์ อย่าได้กลัวบุญกันเลย เพราะบุญเป็นชื่อของความสุข

"ความสุขในโลกนี้และโลกหน้าย่อมเกิดกับ ผู้ทำบุญไว้ ผู้ปรารถนาเป็น สหายแห่งเทพ พึงทำ บุญกุศลไว้ให้มาก เพราะผู้ทำบุญเป็นนิตย์ย่อม บันเทิงใจอยู่ใน สวรรค์"


ที่มา
http://www.kalyanamitra.org/u-ni-boon/main/index.php?option=com_content&task=view&id=610&Itemid=1

Thursday, September 24, 2009

การขวางบุญผู้อื่น

การขวางบุญผู้อื่น ถือว่าเป็นกรรมฝ่ายอกุศลกรรมอีกชนิดหนึ่ง ที่บั่นทอนรายได้และความเจริญอย่างมาก มีหลายชนิดดังนี้

การขวางบุญโดยไม่ให้ผู้อื่นรักษาศีลและนั่งสมาธิ ถือว่าเป็นกรรมใหญ่ เพราะศีลเป็นบุญชั้นกลาง สมาธิเป็นบุญชั้นสูง คือเป็นครุกรรม คือกรรมหนักฝ่ายกุศล ถ้าผู้ใดไปขวางบุญชนิดนี้ จะทำให้ผู้นั้นได้รับความทุกข์ยากลำบากเป็นอย่างมาก


การขวางบุญในการแสดงธรรม คือ ในขณะที่อาจารย์สอนธรรมะให้คนทั่วไปฟังอยู่นั้น หรือในขณะที่พระทำพิธีสวดมนต์อยู่นั้น อาจจะมีบางคนพุดคุยกันในที่แห่งนั้น ซึ่งทำให้ผู้ที่ถูกชวนคุยนั้นฟังที่อาจารย์สอนไม่รู้เรื่อง

และยังทำให้คนข้างๆเสียสมาธิในการฟังด้วย เป็นการรบกวนคนอื่นรอบข้าง หรือการกระทำใดๆก็ตามคนที่ฟังธรรม ในที่แห่งนั้นเสียสมาธิในการฟัง หรือถูกรบกวนการฟังธรรม

ทั้งที่ผู้ที่กระทำนั้นไม่ได้มีความตั้งใจหรือมีเจตนา แต่เขาผู้นั้นจะต้องได้รับกรรมชดใช้ และกรรมของการขัดขวางบุญผู้อื่นแน่นอน และผลกรรมที่ได้รับก็คือ เขาจะเป็นผู้ตาบอด หูหนวก เป็นต้อเนื้อ ต้อกระจก ปากแหว่ง หรืออาจจะปากเสีย

หรือฟันในปากมีปัญหาทำให้ได้รับความเจ็บปวดมาก อาจจะเป็นคนปากเหม็นมาก หรืออาจจะทำให้เขาผู้นั้นเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา ซึ่งจะอยู่กับกรรมที่ทำมา ว่าเขาขวางบุญมากหรือน้อยแค่ไหน แต่เขาจะได้รับโทษอย่างแน่นอน ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนก็จะต้องเป็นชาติต่อๆไปโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย


และใครจะเอาเด็กไปฟังธรรมด้วย ก็ขอให้ดูแลให้ดี มิฉะนั้น ตัวเด็กจะทำบาปโดยไม่รู้ตัว เช่นการส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่น

หลายคนอาจสงสัยว่า แค่พูดกันหรือแค่โทรศัพท์อาจจะรบกวนคนอื่นบ้าง แต่ทำไมต้องได้รับโทษขนาดนั้น ก็จะขออธิบายว่า ..

การฟังธรรมะ..ไม่เหมือนกับการฟัง อาจารย์สอนความรู้วิชาการด้านต่าง ดังที่เราได้เคยร่ำเรียนมา เพราะความรู้เหล่านั้น ไม่สามารถที่จะทำให้เรากลายเป็นคนดีได้ จนทำให้เราพ้นจากนรกหรืออบายภูมิ และความรู้เหล่านั้น ก็ไม่สามารถทำให้เราตายแล้ว ไปเกิดบนสวรรค์ได้ จึงถือว่าเป็นความรู้ที่ธรรมดา

ไม่เหมือนกับความรู้ที่ได้จากธรรมะ เพราะถ้าผู้ใดสามารถรู้ และเข้าใจจนสามารถพิสูจน์ได้ เขาผู้นั้นก็จะกลายเป็นคนดี ไม่เบียดเบียนใคร และเมื่อตายไปก็จะรอดพ้นจากนรกหรืออบายภูมิได้ และธรรมะยังทำให้เขารู้หนทางที่จะไปเกิดบนสวรรค์ได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นความรู้ในธรรมะจึงถือว่าเป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งไม่มีความรู้ใดเทียบเท่าได้


เพราะฉะนั้นการขวางบุญในการฟังธรรม จึงเท่ากับขวางแสงสว่างในชีวิตของคนบางคน และขวางความเจริญรุ่งเรืองทั้งในชาตินี้และชาติต่อๆไป ของบุคคลผู้นั้นด้วย จึงทำให้ผู้ที่ขวางบุญคนอื่นนั้นได้รับผลกรรมที่หนักพอสมควร ดังที่กล่าวมาแล้วนั่นเอง

การขวางผู้อื่นทำทาน

คือ เมื่อเห็นญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงหรือแฟน สามี มิตรสหายจะทำบุญหรือให้ทาน เช่นจะทำทานสร้างโบสถ์หรือวิหารสักแห่ง ประมาณ 1,000 บาท ผู้ที่ขวางบุญก็จะบอกว่า ทำแค่ ร้อย สองร้อย ก็พอ หรือจะให้เงินขอทานสัก 20 บาท ผู้ที่ขวางบุญก็จะบอกว่า อย่าไปให้เลย เพราะจะเป็นการสนับสนุนเขาให้เป็นขอทาน

แต่พอถามว่า เมื่อเขาเป็นคนพิการ คุณจะพาเขาไปหางานทำหรือจะช่วยเหลือเขาหรือเปล่า ผู้ขวางบุญกลับบอกว่า ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของผม ซึ่งฟังแล้วแปลกดี

ไม่มีหน้าที่..ช่วย แต่กลับมีหน้าที่..ขวาง..บุญ ซึ่งผลกรรมในการขวางบุญ เรื่องการให้ทานนี้ จะทำให้เขาเป็นผู้ทำมาหากินลำบาก ถุกขัดขวาง เกิดอุปสรรคมากมาย ลาภผลที่จะได้มาไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย และที่สำคัญ เมื่อเขาตายไปแล้ว ถ้ากลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง

อาจจะเป็นมนุษย์ตัวเตี้ยผิดปกติ จนไปถึงกลายเป็นคนแคระก็อาจเป็นไปได้ เป็นผลมาจากการขวางบุญที่เขาเคยทำในอดีตชาตินั่นเอง จะเตี้ยมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่ที่กรรม ขวางบุญคนอื่นมากน้อยเพียงไร



----------------------------------------------------------------

ดังตัวอย่างบุพจริยาของพระกุณฏกภัททิยเถระ เอตทัคคะในทางผู้พูดเสียงไพเราะ


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก

ภัททิยวรรคที่ ๕๕
ลกุณฏกภัททิยเถราปทานที่ ๑
ว่าด้วยบุพจริยาของพระกุณฏกภัททิยเถระ


[๑๓๑] ในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้ พระพิชิตมารพระนามว่าปทุมุตระ ทรงรู้
จบธรรมทั้งปวง เป็นพระผู้นำได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก ครั้งนั้น เรา
เป็นบุตรเศรษฐีมีทรัพย์มาก ในพระนครหงสวดี เที่ยวเดินพักผ่อนอยู่
ได้ไปถึงสังฆาราม คราวนั้น พระผู้นำผู้ส่องโลกให้โชติช่วงพระองค์
นั้น ทรงแสดงพระธรรมเทศนา ได้ตรัสสรรเสริญพระสาวกผู้ประ-
เสริฐกว่าภิกษุทั้งหลายที่มีเสียงไพเราะ เราได้สดับพระธรรมเทศนา
นั้นแล้วก็ชอบใจ จึงได้ทำสักการะแก่พระองค์ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่
ถวายบังคมพระบาททั้งสองของพระศาสดาแล้ว ปรารถนาฐานันดร
นั้น ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นผู้นำชั้นพิเศษ ได้ตรัสพยากรณ์ใน
ท่ามกลางพระสงฆ์ว่า ในอนาคตกาล ท่านจักได้ฐานันดรนี้สมดัง
มโนรถความปรารถนา ในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้ พระศาสดามี
พระนามชื่อว่าโคดม ซึ่งสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จ
อุบัติขึ้นในโลก เศรษฐีบุตรผู้นี้ จักได้เป็นธรรมทายาทของพระ
ศาสดาพระองค์นั้น เป็นโอรสอันธรรมเนรมิต เป็นสาวกของพระ
ศาสดา มีนามชื่อว่าภัททิยะ เพราะกรรมที่ทำไว้ดีนั้น และเพราะ
การตั้งเจตน์จำนงไว้ เราละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ในกัปที่ ๙๒ แต่ภัทรกัปนี้ พระพิชิตมารพระนามว่าผุสสะเป็นผู้นำ
ยากที่จะหาผู้เสมอ ยากที่จะข่มขี่ได้ สูงสุดกว่าโลกทั้งปวงได้เสด็จ
อุบัติขึ้นแล้ว และพระพุทธองค์ทรงสมบูรณ์ด้วยจรณะ เป็นผู้
ประเสริฐเที่ยงตรง ทรงมีความเพียรเผากิเลส ทรงแสวงหา
ประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ทรงเปลื้องสัตว์เป็นอันมากจาก
กิเลสเครื่องจองจำ เราเกิดเป็นนกดุเหว่าขาวในพระอารามอันน่าเพลิด
เพลินเจริญใจ ของพระผุสสสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น เราอยู่
ที่ต้นมะม่วงใกล้พระคันธกุฎี ครั้งนั้น เราเห็นพระพิชิตมารผู้สูงสุด
เป็นพระทักขิไณยบุคคล เสด็จพระราชดำเนินไปบิณฑบาต จึงทำ
จิตให้เลื่อมใส แล้วร้องด้วยเสียงอันไพเราะ ครั้งนั้น เราบินไป
สวนหลวงคาบผลมะม่วงที่สุกดีมีเปลือกเหมือนทองคำมาแล้วน้อม
เข้าไปถวายแด่พระสัมพุทธเจ้า เวลานั้น พระพิชิตมารผู้ประกอบ
ด้วยพระกรุณา ทรงทราบวาระจิตของเรา จึงทรงรับบาตรจากมือของ
ภิกษุผู้อุปัฏฐาก เรามีจิตร่าเริงถวายผลมะม่วงแด่พระมหามุนี เราใส่
บาตรแล้วก็ประนมปีกร้องด้วยเสียงอันไพเราะ น่ายินดี เสนาะน่า
ฟัง เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า แล้วไปนอนหลับ ครั้งนั้น นกเหยี่ยว
ผู้มีใจชั่วช้าได้โฉบเอาเรา ผู้มีจิตเบิกบาน มีอัธยาศัยไปสู่ความรัก-
ต่อพระพุทธเจ้าไปฆ่าเสีย เราจุติจากอัตภาพนั้นไปเสวยมหันตสุขใน
สวรรค์ชั้นดุสิต แล้วมาสู่กำเนิดมนุษย์เพราะกรรมนั้นพาไป ใน
ภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าผู้มีพระนามตามพระโคตรว่ากัสสป เป็นเผ่า
พันธุ์พรหมมีพระยศใหญ่ ประเสริฐกว่านักปราชญ์ ได้เสด็จอุบัติขึ้น
แล้วพระองค์ทรงยังพระศาสนาให้โชติช่วงครอบงำเดียรถีย์ผู้หลอก
ลวงทรงแนะนำเวไนยสัตว์พระองค์พร้อมทั้งพระสาวกปรินิพพานแล้ว
เมื่อพระพุทธองค์ผู้เลิศในโลกปรินิพพานแล้ว ประชุมชนเป็นอันมาก
ที่เลื่อมใส จักทำพระสถูปของพระศาสดา เพื่อต้องการจะบูชาพระ
พุทธเจ้า เขาปรึกษากันอย่างนี้ว่า จักช่วยกันทำพระสถูปของ
พระศาสดาผู้แสวงหาพระคุณอันใหญ่ ให้สูงเจ็ดโยชน์ ประดับ
ด้วยแก้ว ๗ ประการ ครั้งนั้น เราเป็นจอมทัพของพระเจ้าแผ่นดิน
แคว้นกาสีพระนามว่ากิกี ได้พูดลดประมาณที่พระเจดีย์ของพระพุทธ
เจ้า ผู้ไม่มีประมาณเสีย ครั้งนั้น ชนเหล่านั้นได้ช่วยกันทำเจดีย์
ของศาสดา ผู้มีพระปัญญากว่านรชน สูงโยชน์เดียว ประดับด้วย
รัตนะนานาชนิด ตามถ้อยคำของเรา เพราะกรรมที่ทำไว้ดีนั้น และ
เพราะการตั้งเจตน์จำนงไว้ เราละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้น
ดาวดึงส์ ก็ในภพสุดท้ายในบัดนี้ เราเกิดในสกุลเศรษฐีอันมั่งคั่ง
สมบูรณ์ มีทรัพย์มากมาย ในพระนครสาวัตถีอันประเสริฐ เราได้
เห็นพระสุคตเจ้าในเวลาเสด็จเข้าพระนครก็อัศจรรย์ใจ จึงบรรพชา
ไม่นานก็ได้บรรลุอรหัต เพราะกรรมคือการลดประมาณของพระเจดีย์
เราได้ทำไว้ เราจึงมีร่างกายต่ำเตี้ย ควรจะเป็นร่างกายกลม เราบูชา
พระพุทธเจ้าสูงสุดด้วยเสียงอันไพเราะ จึงได้ถึงความเป็นผู้เลิศกว่า
ภิกษุทั้งหลายที่มีเสียงไพเราะ เพราะการถวายผลไม้แด่พระพุทธเจ้า
และเพราะการอนุสรณ์ถึงพระพุทธคุณ เราจึงสมบูรณ์ด้วยสามัญผล
ไม่มีอาสวะอยู่ เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... พระพุทธศาสนาเรา
ได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
ทราบว่า ท่านพระลกุณฏกภัททิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ลกุณฏกภัททิยเถราปทาน.

ที่มา
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=33&A=3434&Z=3497


------------------------------------------------------------------------

ชาติก่อนเคยขวางบุญไว้

ในสมัยพุทธกาล สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทำวัตรอยู่ในโบสถ์มีอุบาสกคนหนึ่งมีความประสงค์จะไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
จึงเดินเข้าไปในโบสถ์ พอไปถึงหน้าโบสถ์เห็นเป็นเณรยืนอยู่ มีลักษณะตัวเล็ก จึงเข้าไปลูบหัวด้วยความเอ็นดูรักใคร่
เสร็จแล้วได้เเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในโบสถ์ เมื่อกราบนมัสการเสร็จแล้ว พระพุทธเจ้าทรงถามอุบาสกว่า
"อุบาสกเดินเข้ามาได้เห็นพระอรหันต์องค์หนึ่งอยู่หน้าโบสถ์หรือไม่" อุบาสกตอบว่า
"ข้าพระพุทธเจ้าไม่เห็นพระอรหันต์สักองค์หนึ่งเลย เห็นแต่สามเณรน้องน่ารักอยู่องค์เดียวเท่านั้นพระเจ้าข้า"

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "นั่นแหละ พระอรหันต์ละ"

อุบาสกเมื่อรู้ว่าสามเณรน้อยน่ารักผู้ที่ตัวเองได้ลูบศีรษะนั้นคือพระอรหันต์ก็รู้สึกตกใจมาก และได้ถามถึงบุรพกรรมของสามเณรว่า
ทำไมถึงได้มีร่างกายเล็กและเตี้ยเหมือนกับเด็ก พระพุทธเจ้าจึงเล่าถึงอดีตชาติของพระอรหันต์องค์น้อยว่า
"ในอดีตชาติ ท่านได้เป็นอุบาสกผู้มีใจเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและได้ร่วมกับพรรคพวกของท่านวางแผนสร้างเจดีญืขึ้นหนึ่งองค์
ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็มีความเห็นว่าต้องการที่จะสร้างเจดีย์ให้สูงเท่านกเขาเหิน แต่ตัวท่านกลับเห็นว่าสูงเกินไป และให้ความเห็นแก่ทุกคนว่า
พวกเราไม่ควรสร้างให้สูงปานนั้น ควรจะสร้างให้ต่ำๆ จะดีกว่า ทุกคนจึงมีความเห็นตามอุบาสกผู้นี้พูด และได้ตกลงสร้างเจดีย์ตามนั้น
เพราะกรรมการบั่นทอนหรือขวางบุญผู้อื่น ซึ่งบุญที่คนทั้งหลายควรจะได้มากหรือได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่เมื่อถูกเราไปขวาง
จึงทำให้สิ่งที่เขาควรจะได้รับนั้นลดลง หรือบางทีอาจจะไม่ได้เลย กรรมอันนี้นี่เองที่ทำให้ในชาตินี้ท่านจึงได้เกิดมาตัวเตี้ยผิดจากมนุษย์ธรรมดา"

จะเห็นได้ว่า กรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่เราไม่ได้ตั้งใจ และก็ไม่รู้ด้วยว่าการกระทำแค่นี้ถือว่าเป็นกรรมแล้ว ที่สำคัญผู้ที่ทำกรรมนั้นจะต้องได้รับโทษ
แน่นอนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หวังว่าทุกท่านคงจะพอเข้าใจแล้วว่าทำไมคนเราถึงได้สูงต่ำไม่เท่ากัน


------------------------------------------------------------------------

มาดูชีวิต..นักเรียนสาวที่ตัวจิ๋วที่สุดโนโลก..อยู่ที่อินเดียนี่เอง

วันนี้มีเรื่องจากคุณสายบุญ..สมาชิกประจำของบล๊อกนี้.. ได้ส่งเรื่องมาทางเมล์เกี่ยวกับเด็กนักเรียนอินเดียที่ตัวเล็กที่สุดใน โลก..ลองมาดูว่าเธอเล็กสมตัวหรือเปล่า

ฮือฮาน.ร.สาวอินเดียตัวจิ๋วสุดในโลก



จิ๋วแจ๋ว-ชโย ติ สาวน้อยร่างจิ๋วที่สุดในโลก อายุ 15 ปี กับเพื่อนๆ ร่วมชั้นในเมืองนากปุระ ประเทศอินเดีย เปิดตัวทางรายการทีวีอังกฤษเป็นที่ฮือฮา โดยให้สัมภาษณ์ว่า ภูมิใจที่เป็นเด็กสาวตัวจิ๋ว ไม่น้อยเนื้อต่ำใจแต่อย่างใด เมื่อ 10 มิ.ย. (เดลี่เมล์)


หนังสือ พิมพ์เดลี่ เมล์ รายงานวันที่ 10 มิ.ย.ว่า ชโยติ สาวน้อยร่างจิ๋วที่สุดในโลก อายุ 15 ปี ชาวอินเดีย ความสูง 33.8 เซนติเมตร หนัก 5.4 กิโลกรัม เปิดตัวในรายการทีวี ช่อง 4 ของอังกฤษ

สาว น้อยอาศัยอยู่เมืองนากปุระ รัฐมหาราษฎะ เป็นลูกคนที่ 4 มีพี่สาว 2 คน อายุ 23 และ 18 ปี พี่ชายอายุ 22 ปี ส่วนพ่ออายุ 52 ปี แม่อายุ 45 ปี ทุกคนรูปร่างปกติ ซึ่งชโยติกล่าวว่า ภูมิใจที่เป็นเด็กสาวตัวเล็กที่สุดในโลก ไม่ได้ตกใจหรือเสียใจที่ตัวเล็ก ชอบที่คนอื่นมองด้วยความสนใจ

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ความเตี้ยแคระของชโยติมาจากความผิดปกติที่ร่างกายผลิ ตฮอร์โมนออกมาไม่เพียงพอ และจะมีรูปร่างนี้ไปตลอดชีวิต


ชโย ติได้ไปโรงเรียน โดยมีที่นั่งจัดพิเศษไว้ให้ เด็กสาวเล่าว่า ตอนไปโรงเรียนวันแรกกลัวเหมือนกัน เพราะทุกคนตัวโตกันทั้งนั้น แต่ตอนนี้ปกติแล้ว ไม่ได้รู้สึกแตกต่าง ในฐานะเป็นวัยรุ่นก็เหมือนเด็กสาวทั่วไป ชอบแต่งหน้า แต่งตัวสวยๆ ฝันไว้ว่าอนาคตจะเป็นดารา ทำงานภาพยนตร์

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า..ถึงตัวจะเล็กแต่ใจไม่เล็กก็แล้วกันนะค๊ะ..ฯ


เรื่อง มาดูชีวิต..นักเรียนสาวที่ตัวจิ๋วที่สุดโนโลก..อยู่ที่อินเดียนี่เอง
ที่มาจาก http://www.oknation.net/blog/mylifeandwork/2009/06/12/entry-1