Sunday, November 15, 2009

เอาบุญมาฝากจ้า...สังฆทาน...Daddy Dough















มิตรแท้ในปรโลก

ปกิณกธรรม

เรื่อง : พระมหาเสถียร สุรณฺณฐฺิโต ป.ธ. ๙ / พระมหาวิริยะ ธมฺมสารี ป.ธ. ๙

มหาสมุทร เป็นศูนย์รวมของสายน้ำทั้งหลาย บุญก็เป็นศูนย์รวมของความสุขและความสำเร็จ ทั้งมวลของชีวิต บุญเป็นแก้วสารพัดนึกที่จะบันดาล ทุกอย่างให้เราสมความปรารถนาในทุกสิ่ง ถ้าเราปรารถนาความสุขความสำเร็จข้ามชาติ จะต้องรู้จัก วิธีเปลี่ยนโลกิยทรัพย์ให้เป็นอริยทรัพย์ ด้วยการนำออกมาทำทาน ถือเป็นการากทรัพย์ไว้ตามหลัก พุทธวิธี ที่สามารถติดตามตัวเราไปข้ามภพข้ามชาติ ให้ออกดอกออกผลเป็นรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญสุข และมรรคผล นิพพาน ทันทีที่เราตัดความตระหนี่ออกจากใจ ละทรัพย์ทำบุญทำทาน ทรัพย์นั้นก็จะแปรเปลี่ยน เป็นทรัพย์ละเอียด ซึ่งจะอำนวยสุขในทุกสถานทั้งในโลกนี้และโลกหน้า การหมั่นสั่งสมบุญเป็นวิสัยทัศน์ของผู้ไม่ประมาท เป็นวิธีเตรียมตัวตายที่ถูกต้อง และปลอดภัยที่สุด เพราะเราไม่รู้ว่าจะหมดลมหายใจ เมื่อไร และถึงแม้หมดสิทธิ์หายใจแต่ก็ยังได้สิทธิ์ไป เสวยสุขในสวรรค์อีกต่อไป

ในสมัยพุทธกาล มีพระเถระ ๓ รูป จำพรรษาในอาวาสแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไกลจากพระวิหารเวฬุวัน เมื่อออกพรรษาแล้ว ได้ชักชวนกันไปเฝ้าพระสัมมา สัมพุทธเจ้าที่พระวิหารเวฬุวัน กรุงราชคห์ ขณะที่ พระเถระทั้ง ๓ รูป เดินทางผ่านไร่อ้อย คนเฝ้าไร่
ผู้มีจิตใจงดงามเห็นพระภิกษุเดินทางผ่านมาก็ดีใจ รีบออกไปต้อนรับ ครั้นทราบว่าพระเถระกำลังเดินทาง เพื่อจะไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความห่วงใย และอยากได้บุญ จึงกราบเรียนท่านว่า "กรุงราชคฤห์ อยู่ห่างจากที่นี่มาก ถ้าเดินทางด้วยเท้าก็ต้องใช้เวลา เดินทางอีกพอสมควร ที่พักระหว่างทางก็หายาก ขอนิมนต์พระคุณเจ้าพักที่ไร่แห่งนี้สักคืนหนึ่งเถิด โยมจะขอรับบุญอุปัฏฐากพวกท่านเอง พรุ่งนี้ค่อย เดินทางต่อเถิดพระคุณเจ้า"

พระเถระทั้ง ๓ รูป จึงรับนิมนต์ เพราะเห็นว่า คนเฝ้าไร่แม้จะยากจน แต่ก็ไม่แล้งน้ำใจ คนเฝ้าไร่ ดีใจมากที่พระเถระทั้ง ๓ รูป เมตตาอยู่เป็นเนื้อนาบุญ จึงรีบไปเอาน้ำอ้อยมาถวาย จากนั้นจึงนิมนต์ท่าน เข้าไปจำวัดในที่พัก

พอรุ่งเช้า คนเฝ้าไร่รีบตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อถวาย ภัตตาหาร เมื่อพระเถระฉันเสร็จแล้ว ก็แนะนำให้เขา หมั่นนึกถึงบุญบ่อย ๆ และให้ใจอยู่ในบุญจะได้ช่วย หนุนนำให้พ้นจากความยากลำบาก เพราะสิ่งที่เขาทำถือว่าเป็นกาลทาน คือ ได้ถวายการต้อนรับภิกษุ
ที่มาจากทิศทั้งสี่ และการถวายทานแด่ภิกษุผู้เตรียมจะไปนั้น ได้ชื่อว่าปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสเอาไว้ว่า

" ผู้มีปัญญา รู้ความประสงค์ของผู้มาเยือน ปราศจากความตระหนี่ ย่อมให้ทานในกาลที่ควรให้ ผู้ให้ทานตามกาลในพระผู้ปฏิบัติตรง ผู้มีใจผ่องใสมิตรแท้ในปรโลก แม่น้ำทั้งหลายย่อมไหลลงสู่มหาสมุทร ฉันใด ท่อธารแห่งบุญย่อมหลั่งไหลสู่นรชนผู้ให้ข้าว น้ำ เครื่องนุ่งห่ม ที่นอน ที่นั่ง ฉันนั้น ทานย่อมมีผลไพบูลย์ จะส่งผลใหญ่นับประมาณมิได้ เพราะฉะนั้น ผู้ปรารถนาบุญควรให้ทานในบุญเขต ที่มีผลมาก บุญทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ ทั้งหลายในปรโลก"

คนเฝ้าไร่ฟังสัมโมทนียกถาจากพระเถระแล้ว ก็เกิดมหาปติในบุญที่ได้ต้อนรับพระอาคันตุกะ เขา ได้ถวายอ้อยแด่พระเถระทั้ง ๓ รูป ที่กำลังจะออกเดินทาง ซึ่งอ้อยที่เขาถวายไปนั้นเป็นอ้อยของเขาเอง เขาได้เดินไปส่งพระเถระ แล้วกลับมาเฝ้าไร่อ้อยด้วยความปลื้มปติในบุญ

ขณะเดียวกัน พราหมณ์ผู้เป็นมิจฉาทิฐิซึ่งเป็นเจ้าของไร่อ้อย กำลังเดินทางไปไร่ ได้เห็นอ้อยในมือ ของพระเถระทั้ง ๓ รูป ที่เดินสวนทางมา จึงถามว่า "พวกท่านได้อ้อยมาจากไหน" เมื่อรู้ว่าคนเฝ้าไร่เป็น ผู้ถวายมาก็โกรธมาก เพราะพราหมณ์คิดว่าคนเฝ้าไร่ ขโมยอ้อยในไร่ไปถวายพระเถระ จึงรีบเดินไปที่ไร่อ้อย พอไปถึงก็ไม่ได้ซักถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น คว้าท่อนไม้ ได้ก็เดินไปทางด้านหลังของคนเฝ้าไร่ แล้วฟาดท่อนไม้ลงบนศีรษะเขาอย่างแรง ทำให้คนเฝ้าไร่ เสียชีวิตทันที ในขณะที่เขากำลังนั่งระลึกนึกถึงบุญอยู่ แม้ตายแล้วก็มีสติรู้ว่าตัวเองตาย ไม่ได้รู้สึก โกรธแค้นเจ้าของไร่เลย ในใจนึกถึงแต่บุญเพียงอย่างเดียว ทำให้เขาไปบังเกิดในสุธรรมาเทวสภา มีช้างพลายทิพย์เป็นยานพาหนะ ซึ่งบังเกิดขึ้นด้วย บุญญานุภาพของเขา

ฝ่ายพ่อแม่และหมู่ญาติของคนเฝ้าไร่ ได้ข่าวการตายของเขาก็เสียใจ ร้องไห้ฟูมฟายด้วยความสงสาร เย็นวันนั้น เพื่อนบ้านได้พากันไปมุงดูศพ แล้วช่วยกันหามไปทำฌาปนกิจในปาช้า ขณะนั้นเทพบุตร ใหม่ได้ขี่ช้างทิพย์แวดล้อมด้วยเทพผู้ชำนาญในการ บรรเลงดนตรีลงมาจากเทวโลกพร้อมด้วยบริวาร จำนวนมากด้วยเทพทธิ์ยิ่งใหญ่ ปรากฏกายในอากาศให้ประชุมชนนั้นเห็นเป็นบุญตา

ชาวบ้านเห็นแล้วก็ตื่นเต้นดีใจ ต่างชี้ชวนกันดูช้างตัวใหญ่ที่มีเทพบุตรนั่งอยู่ด้านบน ฟังทิพยบรรเลง ที่ไพเราะจนลืมความโศกไปทันที ชาวบ้านพากันถามเทพบุตรว่า "ท่านเป็นใคร เป็นเทวดาหรือคนธรรพ์ หรือเป็นท้าวสักกะ จึงได้มีช้างเผือกเป็นยานทิพย์ มีดนตรีประโคมกึกก้อง ฉลองกันอยู่ในอากาศ"

เทพบุตรได้ตอบกลับไปว่า "ข้าพเจ้าไม่ใช่คนธรรพ์ ไม่ใช่ท้าวสักกะ ข้าพเจ้าเป็นเทพองค์หนึ่ง ในบรรดาเหล่าเทพที่ชื่อสุธรรมา" พวกเทพสุธรรมา ก็คือเทพบุตรผู้เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลสุธรรมาเทวสภาในสวรรค์ชั้นดาวดึง ค์นั่นเอง
เทพบุตรได้บอกบิดามารดาและหมู่ญาติว่าตัวเองก็คืออดีตคนเฝ้าไร่ อ้อย แม้จะถูกตีตาย แต่ก็ ไม่ตายจากความดีที่ได้ทำบุญไว้กับพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า จากนั้นจึงเล่าบุพกรรมที่ได้ทำ ก่อนตายให้ทุกคนได้อนุโมทนาบุญ แล้วประกาศคุณของพระรัตนตรัยให้เห็นประจักษ์ และชักชวนให้ทุกคนได้ทำบุญกับภิกษุสงฆ์ เพราะเป็นเนื้อนาบุญอันเลิศของโลก

เมื่อ ชาวบ้านได้ฟังคำของเทพบุตรแล้ว ก็เกิดความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย จึงไปถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์ โดยมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข และได้กราบทูลเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ทรงทราบ พระบรมศาสดาจึงทรงแ สดงธรรมให้มหาชนตั้งอยู่ในศีล เมื่อกลับไปชาวบ้านก็ได้ช่วยกัน สร้างวิหารบริเวณที่คนเฝ้าไร่ถูกฆ่าตาย เพื่อเป็นอนสรณ์สถาน ให้กับเขา บุญนั้นได้หนุนส่งให้เทพบุตรมีวิมาน ว่างสไ วยิ่งขึ้นไปอีกส่วนชาวบ้านเมื่อสั่งสมบุญอยู่เป็นนิตย์ ละโลกแล้วก็มีสุคติเป็นที่ไปกันถ้วนหน้า

ท่าน สาธุชนทั้งหลาย ความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ที่น่ากลัวคือตอนยังมีชีวิตแต่ไม่คิดทำความดี ต่างหาก ในทางตรงกันข้ามถ้าเราหมั่นสั่งสมบุญไว้ดีแล้ว แม้ต้องตายจากโลกใบนี้ไป แต่จะมีชีวิตใหม่ที่สดใสกว่าเดิม บุญเท่านั้นเป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ทั้งหลายในปรโลก เวลาเราตายก็ไม่สามารถนำอะไรติดตัวไปได้เลย มีเพียงบุญเท่านั้นที่จะหนุนนำให้เรา เข้าถึงความเป็น หายของเหล่าทวยเทพ

ขณะ เดียวกัน ความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นในชีวิต มักเกิดจากความผิดพลาดในอดีต ซึ่งเป็นวิบากที่คอย ติดตามเราเหมือนเงาตามตัว ถ้ากำลังบุญเราหย่อน กำลังบาปก็ได้ช่องส่งผล เราจึงประสบกับอุปสรรคในการดำเนินชีวิต ผู้ที่มีกำลังใจสูงเมื่อประสบกับปัญหาก็จะไม่ตีโพยตีพาย ไม่โทษว่าบุญไม่ช่วย และจะไม่โทษใครทั้งนั้น แต่จะมีสติ ใช้ปัญญาหาวิธีแก้ไข ด้วยใจที่สงบ หาทางเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสและ จะเร่งสั่งสมบุญให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อเอาบุญไปสู้ กับบาป


บุญ จะช่วยตัดรอนวิบากกรรม จากหนักเป็นเบา เบาเป็นหาย แม้ตายก็ไปดี จากที่เคยยากจน ก็จะก้าวข้ามไปสู่ความเป็น คนจนยาก จากไม่มีอันจะกิน ก็จะมีเหลือกินเหลือใช้

อีกประการหนึ่ง ชีวิตคนเรานั้นจะถูกชิงช่วง ระหว่างความเป็นและความตาย ระหว่างบุญและ บาปเสมอ เพราะฉะนั้น เมื่อโอกาสแห่งการสั่ง สมบุญ มาถึงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบุญเล็ก บุญใหญ่ หรือบุญ อะไรก็ตาม อย่าได้ลังเลใจ อย่ามัวมีข้อแม้ ข้ออ้าง และเงื่อนไข ให้รีบใช้สิทธิ์นั้น ก่อนที่จะหมดสิทธิ์ อย่าได้กลัวบุญกันเลย เพราะบุญเป็นชื่อของความสุข

"ความสุขในโลกนี้และโลกหน้าย่อมเกิดกับ ผู้ทำบุญไว้ ผู้ปรารถนาเป็น สหายแห่งเทพ พึงทำ บุญกุศลไว้ให้มาก เพราะผู้ทำบุญเป็นนิตย์ย่อม บันเทิงใจอยู่ใน สวรรค์"


ที่มา
http://www.kalyanamitra.org/u-ni-boon/main/index.php?option=com_content&task=view&id=610&Itemid=1