Thursday, September 24, 2009

การขวางบุญผู้อื่น

การขวางบุญผู้อื่น ถือว่าเป็นกรรมฝ่ายอกุศลกรรมอีกชนิดหนึ่ง ที่บั่นทอนรายได้และความเจริญอย่างมาก มีหลายชนิดดังนี้

การขวางบุญโดยไม่ให้ผู้อื่นรักษาศีลและนั่งสมาธิ ถือว่าเป็นกรรมใหญ่ เพราะศีลเป็นบุญชั้นกลาง สมาธิเป็นบุญชั้นสูง คือเป็นครุกรรม คือกรรมหนักฝ่ายกุศล ถ้าผู้ใดไปขวางบุญชนิดนี้ จะทำให้ผู้นั้นได้รับความทุกข์ยากลำบากเป็นอย่างมาก


การขวางบุญในการแสดงธรรม คือ ในขณะที่อาจารย์สอนธรรมะให้คนทั่วไปฟังอยู่นั้น หรือในขณะที่พระทำพิธีสวดมนต์อยู่นั้น อาจจะมีบางคนพุดคุยกันในที่แห่งนั้น ซึ่งทำให้ผู้ที่ถูกชวนคุยนั้นฟังที่อาจารย์สอนไม่รู้เรื่อง

และยังทำให้คนข้างๆเสียสมาธิในการฟังด้วย เป็นการรบกวนคนอื่นรอบข้าง หรือการกระทำใดๆก็ตามคนที่ฟังธรรม ในที่แห่งนั้นเสียสมาธิในการฟัง หรือถูกรบกวนการฟังธรรม

ทั้งที่ผู้ที่กระทำนั้นไม่ได้มีความตั้งใจหรือมีเจตนา แต่เขาผู้นั้นจะต้องได้รับกรรมชดใช้ และกรรมของการขัดขวางบุญผู้อื่นแน่นอน และผลกรรมที่ได้รับก็คือ เขาจะเป็นผู้ตาบอด หูหนวก เป็นต้อเนื้อ ต้อกระจก ปากแหว่ง หรืออาจจะปากเสีย

หรือฟันในปากมีปัญหาทำให้ได้รับความเจ็บปวดมาก อาจจะเป็นคนปากเหม็นมาก หรืออาจจะทำให้เขาผู้นั้นเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา ซึ่งจะอยู่กับกรรมที่ทำมา ว่าเขาขวางบุญมากหรือน้อยแค่ไหน แต่เขาจะได้รับโทษอย่างแน่นอน ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนก็จะต้องเป็นชาติต่อๆไปโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย


และใครจะเอาเด็กไปฟังธรรมด้วย ก็ขอให้ดูแลให้ดี มิฉะนั้น ตัวเด็กจะทำบาปโดยไม่รู้ตัว เช่นการส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่น

หลายคนอาจสงสัยว่า แค่พูดกันหรือแค่โทรศัพท์อาจจะรบกวนคนอื่นบ้าง แต่ทำไมต้องได้รับโทษขนาดนั้น ก็จะขออธิบายว่า ..

การฟังธรรมะ..ไม่เหมือนกับการฟัง อาจารย์สอนความรู้วิชาการด้านต่าง ดังที่เราได้เคยร่ำเรียนมา เพราะความรู้เหล่านั้น ไม่สามารถที่จะทำให้เรากลายเป็นคนดีได้ จนทำให้เราพ้นจากนรกหรืออบายภูมิ และความรู้เหล่านั้น ก็ไม่สามารถทำให้เราตายแล้ว ไปเกิดบนสวรรค์ได้ จึงถือว่าเป็นความรู้ที่ธรรมดา

ไม่เหมือนกับความรู้ที่ได้จากธรรมะ เพราะถ้าผู้ใดสามารถรู้ และเข้าใจจนสามารถพิสูจน์ได้ เขาผู้นั้นก็จะกลายเป็นคนดี ไม่เบียดเบียนใคร และเมื่อตายไปก็จะรอดพ้นจากนรกหรืออบายภูมิได้ และธรรมะยังทำให้เขารู้หนทางที่จะไปเกิดบนสวรรค์ได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นความรู้ในธรรมะจึงถือว่าเป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งไม่มีความรู้ใดเทียบเท่าได้


เพราะฉะนั้นการขวางบุญในการฟังธรรม จึงเท่ากับขวางแสงสว่างในชีวิตของคนบางคน และขวางความเจริญรุ่งเรืองทั้งในชาตินี้และชาติต่อๆไป ของบุคคลผู้นั้นด้วย จึงทำให้ผู้ที่ขวางบุญคนอื่นนั้นได้รับผลกรรมที่หนักพอสมควร ดังที่กล่าวมาแล้วนั่นเอง

การขวางผู้อื่นทำทาน

คือ เมื่อเห็นญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงหรือแฟน สามี มิตรสหายจะทำบุญหรือให้ทาน เช่นจะทำทานสร้างโบสถ์หรือวิหารสักแห่ง ประมาณ 1,000 บาท ผู้ที่ขวางบุญก็จะบอกว่า ทำแค่ ร้อย สองร้อย ก็พอ หรือจะให้เงินขอทานสัก 20 บาท ผู้ที่ขวางบุญก็จะบอกว่า อย่าไปให้เลย เพราะจะเป็นการสนับสนุนเขาให้เป็นขอทาน

แต่พอถามว่า เมื่อเขาเป็นคนพิการ คุณจะพาเขาไปหางานทำหรือจะช่วยเหลือเขาหรือเปล่า ผู้ขวางบุญกลับบอกว่า ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของผม ซึ่งฟังแล้วแปลกดี

ไม่มีหน้าที่..ช่วย แต่กลับมีหน้าที่..ขวาง..บุญ ซึ่งผลกรรมในการขวางบุญ เรื่องการให้ทานนี้ จะทำให้เขาเป็นผู้ทำมาหากินลำบาก ถุกขัดขวาง เกิดอุปสรรคมากมาย ลาภผลที่จะได้มาไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย และที่สำคัญ เมื่อเขาตายไปแล้ว ถ้ากลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง

อาจจะเป็นมนุษย์ตัวเตี้ยผิดปกติ จนไปถึงกลายเป็นคนแคระก็อาจเป็นไปได้ เป็นผลมาจากการขวางบุญที่เขาเคยทำในอดีตชาตินั่นเอง จะเตี้ยมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่ที่กรรม ขวางบุญคนอื่นมากน้อยเพียงไร



----------------------------------------------------------------

ดังตัวอย่างบุพจริยาของพระกุณฏกภัททิยเถระ เอตทัคคะในทางผู้พูดเสียงไพเราะ


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก

ภัททิยวรรคที่ ๕๕
ลกุณฏกภัททิยเถราปทานที่ ๑
ว่าด้วยบุพจริยาของพระกุณฏกภัททิยเถระ


[๑๓๑] ในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้ พระพิชิตมารพระนามว่าปทุมุตระ ทรงรู้
จบธรรมทั้งปวง เป็นพระผู้นำได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก ครั้งนั้น เรา
เป็นบุตรเศรษฐีมีทรัพย์มาก ในพระนครหงสวดี เที่ยวเดินพักผ่อนอยู่
ได้ไปถึงสังฆาราม คราวนั้น พระผู้นำผู้ส่องโลกให้โชติช่วงพระองค์
นั้น ทรงแสดงพระธรรมเทศนา ได้ตรัสสรรเสริญพระสาวกผู้ประ-
เสริฐกว่าภิกษุทั้งหลายที่มีเสียงไพเราะ เราได้สดับพระธรรมเทศนา
นั้นแล้วก็ชอบใจ จึงได้ทำสักการะแก่พระองค์ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่
ถวายบังคมพระบาททั้งสองของพระศาสดาแล้ว ปรารถนาฐานันดร
นั้น ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นผู้นำชั้นพิเศษ ได้ตรัสพยากรณ์ใน
ท่ามกลางพระสงฆ์ว่า ในอนาคตกาล ท่านจักได้ฐานันดรนี้สมดัง
มโนรถความปรารถนา ในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้ พระศาสดามี
พระนามชื่อว่าโคดม ซึ่งสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จ
อุบัติขึ้นในโลก เศรษฐีบุตรผู้นี้ จักได้เป็นธรรมทายาทของพระ
ศาสดาพระองค์นั้น เป็นโอรสอันธรรมเนรมิต เป็นสาวกของพระ
ศาสดา มีนามชื่อว่าภัททิยะ เพราะกรรมที่ทำไว้ดีนั้น และเพราะ
การตั้งเจตน์จำนงไว้ เราละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ในกัปที่ ๙๒ แต่ภัทรกัปนี้ พระพิชิตมารพระนามว่าผุสสะเป็นผู้นำ
ยากที่จะหาผู้เสมอ ยากที่จะข่มขี่ได้ สูงสุดกว่าโลกทั้งปวงได้เสด็จ
อุบัติขึ้นแล้ว และพระพุทธองค์ทรงสมบูรณ์ด้วยจรณะ เป็นผู้
ประเสริฐเที่ยงตรง ทรงมีความเพียรเผากิเลส ทรงแสวงหา
ประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ทรงเปลื้องสัตว์เป็นอันมากจาก
กิเลสเครื่องจองจำ เราเกิดเป็นนกดุเหว่าขาวในพระอารามอันน่าเพลิด
เพลินเจริญใจ ของพระผุสสสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น เราอยู่
ที่ต้นมะม่วงใกล้พระคันธกุฎี ครั้งนั้น เราเห็นพระพิชิตมารผู้สูงสุด
เป็นพระทักขิไณยบุคคล เสด็จพระราชดำเนินไปบิณฑบาต จึงทำ
จิตให้เลื่อมใส แล้วร้องด้วยเสียงอันไพเราะ ครั้งนั้น เราบินไป
สวนหลวงคาบผลมะม่วงที่สุกดีมีเปลือกเหมือนทองคำมาแล้วน้อม
เข้าไปถวายแด่พระสัมพุทธเจ้า เวลานั้น พระพิชิตมารผู้ประกอบ
ด้วยพระกรุณา ทรงทราบวาระจิตของเรา จึงทรงรับบาตรจากมือของ
ภิกษุผู้อุปัฏฐาก เรามีจิตร่าเริงถวายผลมะม่วงแด่พระมหามุนี เราใส่
บาตรแล้วก็ประนมปีกร้องด้วยเสียงอันไพเราะ น่ายินดี เสนาะน่า
ฟัง เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า แล้วไปนอนหลับ ครั้งนั้น นกเหยี่ยว
ผู้มีใจชั่วช้าได้โฉบเอาเรา ผู้มีจิตเบิกบาน มีอัธยาศัยไปสู่ความรัก-
ต่อพระพุทธเจ้าไปฆ่าเสีย เราจุติจากอัตภาพนั้นไปเสวยมหันตสุขใน
สวรรค์ชั้นดุสิต แล้วมาสู่กำเนิดมนุษย์เพราะกรรมนั้นพาไป ใน
ภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าผู้มีพระนามตามพระโคตรว่ากัสสป เป็นเผ่า
พันธุ์พรหมมีพระยศใหญ่ ประเสริฐกว่านักปราชญ์ ได้เสด็จอุบัติขึ้น
แล้วพระองค์ทรงยังพระศาสนาให้โชติช่วงครอบงำเดียรถีย์ผู้หลอก
ลวงทรงแนะนำเวไนยสัตว์พระองค์พร้อมทั้งพระสาวกปรินิพพานแล้ว
เมื่อพระพุทธองค์ผู้เลิศในโลกปรินิพพานแล้ว ประชุมชนเป็นอันมาก
ที่เลื่อมใส จักทำพระสถูปของพระศาสดา เพื่อต้องการจะบูชาพระ
พุทธเจ้า เขาปรึกษากันอย่างนี้ว่า จักช่วยกันทำพระสถูปของ
พระศาสดาผู้แสวงหาพระคุณอันใหญ่ ให้สูงเจ็ดโยชน์ ประดับ
ด้วยแก้ว ๗ ประการ ครั้งนั้น เราเป็นจอมทัพของพระเจ้าแผ่นดิน
แคว้นกาสีพระนามว่ากิกี ได้พูดลดประมาณที่พระเจดีย์ของพระพุทธ
เจ้า ผู้ไม่มีประมาณเสีย ครั้งนั้น ชนเหล่านั้นได้ช่วยกันทำเจดีย์
ของศาสดา ผู้มีพระปัญญากว่านรชน สูงโยชน์เดียว ประดับด้วย
รัตนะนานาชนิด ตามถ้อยคำของเรา เพราะกรรมที่ทำไว้ดีนั้น และ
เพราะการตั้งเจตน์จำนงไว้ เราละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้น
ดาวดึงส์ ก็ในภพสุดท้ายในบัดนี้ เราเกิดในสกุลเศรษฐีอันมั่งคั่ง
สมบูรณ์ มีทรัพย์มากมาย ในพระนครสาวัตถีอันประเสริฐ เราได้
เห็นพระสุคตเจ้าในเวลาเสด็จเข้าพระนครก็อัศจรรย์ใจ จึงบรรพชา
ไม่นานก็ได้บรรลุอรหัต เพราะกรรมคือการลดประมาณของพระเจดีย์
เราได้ทำไว้ เราจึงมีร่างกายต่ำเตี้ย ควรจะเป็นร่างกายกลม เราบูชา
พระพุทธเจ้าสูงสุดด้วยเสียงอันไพเราะ จึงได้ถึงความเป็นผู้เลิศกว่า
ภิกษุทั้งหลายที่มีเสียงไพเราะ เพราะการถวายผลไม้แด่พระพุทธเจ้า
และเพราะการอนุสรณ์ถึงพระพุทธคุณ เราจึงสมบูรณ์ด้วยสามัญผล
ไม่มีอาสวะอยู่ เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... พระพุทธศาสนาเรา
ได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
ทราบว่า ท่านพระลกุณฏกภัททิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ลกุณฏกภัททิยเถราปทาน.

ที่มา
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=33&A=3434&Z=3497


------------------------------------------------------------------------

ชาติก่อนเคยขวางบุญไว้

ในสมัยพุทธกาล สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทำวัตรอยู่ในโบสถ์มีอุบาสกคนหนึ่งมีความประสงค์จะไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
จึงเดินเข้าไปในโบสถ์ พอไปถึงหน้าโบสถ์เห็นเป็นเณรยืนอยู่ มีลักษณะตัวเล็ก จึงเข้าไปลูบหัวด้วยความเอ็นดูรักใคร่
เสร็จแล้วได้เเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในโบสถ์ เมื่อกราบนมัสการเสร็จแล้ว พระพุทธเจ้าทรงถามอุบาสกว่า
"อุบาสกเดินเข้ามาได้เห็นพระอรหันต์องค์หนึ่งอยู่หน้าโบสถ์หรือไม่" อุบาสกตอบว่า
"ข้าพระพุทธเจ้าไม่เห็นพระอรหันต์สักองค์หนึ่งเลย เห็นแต่สามเณรน้องน่ารักอยู่องค์เดียวเท่านั้นพระเจ้าข้า"

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "นั่นแหละ พระอรหันต์ละ"

อุบาสกเมื่อรู้ว่าสามเณรน้อยน่ารักผู้ที่ตัวเองได้ลูบศีรษะนั้นคือพระอรหันต์ก็รู้สึกตกใจมาก และได้ถามถึงบุรพกรรมของสามเณรว่า
ทำไมถึงได้มีร่างกายเล็กและเตี้ยเหมือนกับเด็ก พระพุทธเจ้าจึงเล่าถึงอดีตชาติของพระอรหันต์องค์น้อยว่า
"ในอดีตชาติ ท่านได้เป็นอุบาสกผู้มีใจเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและได้ร่วมกับพรรคพวกของท่านวางแผนสร้างเจดีญืขึ้นหนึ่งองค์
ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็มีความเห็นว่าต้องการที่จะสร้างเจดีย์ให้สูงเท่านกเขาเหิน แต่ตัวท่านกลับเห็นว่าสูงเกินไป และให้ความเห็นแก่ทุกคนว่า
พวกเราไม่ควรสร้างให้สูงปานนั้น ควรจะสร้างให้ต่ำๆ จะดีกว่า ทุกคนจึงมีความเห็นตามอุบาสกผู้นี้พูด และได้ตกลงสร้างเจดีย์ตามนั้น
เพราะกรรมการบั่นทอนหรือขวางบุญผู้อื่น ซึ่งบุญที่คนทั้งหลายควรจะได้มากหรือได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่เมื่อถูกเราไปขวาง
จึงทำให้สิ่งที่เขาควรจะได้รับนั้นลดลง หรือบางทีอาจจะไม่ได้เลย กรรมอันนี้นี่เองที่ทำให้ในชาตินี้ท่านจึงได้เกิดมาตัวเตี้ยผิดจากมนุษย์ธรรมดา"

จะเห็นได้ว่า กรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่เราไม่ได้ตั้งใจ และก็ไม่รู้ด้วยว่าการกระทำแค่นี้ถือว่าเป็นกรรมแล้ว ที่สำคัญผู้ที่ทำกรรมนั้นจะต้องได้รับโทษ
แน่นอนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หวังว่าทุกท่านคงจะพอเข้าใจแล้วว่าทำไมคนเราถึงได้สูงต่ำไม่เท่ากัน


------------------------------------------------------------------------

มาดูชีวิต..นักเรียนสาวที่ตัวจิ๋วที่สุดโนโลก..อยู่ที่อินเดียนี่เอง

วันนี้มีเรื่องจากคุณสายบุญ..สมาชิกประจำของบล๊อกนี้.. ได้ส่งเรื่องมาทางเมล์เกี่ยวกับเด็กนักเรียนอินเดียที่ตัวเล็กที่สุดใน โลก..ลองมาดูว่าเธอเล็กสมตัวหรือเปล่า

ฮือฮาน.ร.สาวอินเดียตัวจิ๋วสุดในโลก



จิ๋วแจ๋ว-ชโย ติ สาวน้อยร่างจิ๋วที่สุดในโลก อายุ 15 ปี กับเพื่อนๆ ร่วมชั้นในเมืองนากปุระ ประเทศอินเดีย เปิดตัวทางรายการทีวีอังกฤษเป็นที่ฮือฮา โดยให้สัมภาษณ์ว่า ภูมิใจที่เป็นเด็กสาวตัวจิ๋ว ไม่น้อยเนื้อต่ำใจแต่อย่างใด เมื่อ 10 มิ.ย. (เดลี่เมล์)


หนังสือ พิมพ์เดลี่ เมล์ รายงานวันที่ 10 มิ.ย.ว่า ชโยติ สาวน้อยร่างจิ๋วที่สุดในโลก อายุ 15 ปี ชาวอินเดีย ความสูง 33.8 เซนติเมตร หนัก 5.4 กิโลกรัม เปิดตัวในรายการทีวี ช่อง 4 ของอังกฤษ

สาว น้อยอาศัยอยู่เมืองนากปุระ รัฐมหาราษฎะ เป็นลูกคนที่ 4 มีพี่สาว 2 คน อายุ 23 และ 18 ปี พี่ชายอายุ 22 ปี ส่วนพ่ออายุ 52 ปี แม่อายุ 45 ปี ทุกคนรูปร่างปกติ ซึ่งชโยติกล่าวว่า ภูมิใจที่เป็นเด็กสาวตัวเล็กที่สุดในโลก ไม่ได้ตกใจหรือเสียใจที่ตัวเล็ก ชอบที่คนอื่นมองด้วยความสนใจ

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ความเตี้ยแคระของชโยติมาจากความผิดปกติที่ร่างกายผลิ ตฮอร์โมนออกมาไม่เพียงพอ และจะมีรูปร่างนี้ไปตลอดชีวิต


ชโย ติได้ไปโรงเรียน โดยมีที่นั่งจัดพิเศษไว้ให้ เด็กสาวเล่าว่า ตอนไปโรงเรียนวันแรกกลัวเหมือนกัน เพราะทุกคนตัวโตกันทั้งนั้น แต่ตอนนี้ปกติแล้ว ไม่ได้รู้สึกแตกต่าง ในฐานะเป็นวัยรุ่นก็เหมือนเด็กสาวทั่วไป ชอบแต่งหน้า แต่งตัวสวยๆ ฝันไว้ว่าอนาคตจะเป็นดารา ทำงานภาพยนตร์

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า..ถึงตัวจะเล็กแต่ใจไม่เล็กก็แล้วกันนะค๊ะ..ฯ


เรื่อง มาดูชีวิต..นักเรียนสาวที่ตัวจิ๋วที่สุดโนโลก..อยู่ที่อินเดียนี่เอง
ที่มาจาก http://www.oknation.net/blog/mylifeandwork/2009/06/12/entry-1

Monday, September 14, 2009

"การอนุโมทนาบุญกับการอนุโมทนาบาป มีอานิสงส์ต่างกันอย่างไร "

หลวงพ่อตอบปัญหา
พระภาวนาวิริยคุณ

หลวงพ่อเจ้าคะ คนที่ชอบอนุโมทนาบุญกับคนที่ชอบอนุโมทนาบาป จะมีผลอย่างไร?



ถ้าตอบแบบย่อๆ อนุโมทนาบุญก็ได้บุญ อนุโมทนาบาปก็ได้บาป แต่เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า อนุโมทนาคืออะไร ?

อนุโมทนา แปลว่า ดีใจด้วย ยินดีด้วย เห็นชอบด้วย หรือว่าสนับสนุน

เพราะฉะนั้น การอนุโมทนาบุญ คือ ดีใจด้วยกับการที่คนอื่นทำความดี

เช่น พอเห็นใคร ทำความดี เราก็ไปอนุโมทนาบุญด้วย ดีใจด้วย ซึ่งจะเป็นทั้งความชื่นใจ ที่เกิดกับตัวเราเอง แล้วก็เป็นการให้กำลังใจกับคนที่ทำความดี ให้เขามีกำลังใจที่จะทำความดียิ่งๆ ขึ้นไป

ส่วนการอนุโมทนาบาป คือ ดีใจด้วยกับการที่คนอื่นทำความชั่ว พอเห็นใครทำความชั่ว " แหม ดีเหลือเกิน"

เช่น เวลาเห็นคนที่เราไม่ค่อยรัก ไม่ค่อยชอบหน้าสักเท่าไหร่ ถูกรังแก เราก็ดีใจ ไปสมน้ำ หน้าเขา นั่นเป็นการอนุโมทนาบาป เต็มที่เลย ก็จะมีผลทำให้เราพลอยได้บาปไปด้วยเพราะถึง เขาไม่ค่อยจะถูกกับเรา ก็เป็นคนละเรื่องกัน

ยิ่งกว่านั้น ในกรณีที่เห็นใครได้รับความเดือดร้อน ได้รับความทุกข์ยาก แม้ว่าเขาจะเป็น คนชั่ว เป็นคนไม่ดี ก็อย่าไปโมทนากับเขา

ยกตัวอย่าง พ่อค้ายาเสพติด ซึ่งเป็นคนชั่วอย่างแน่นอน โดยกฎหมายมีโทษว่าต้อง ประหาร ชีวิต เพราะทำความเดือดร้อนให้กับคนอื่นมามากมายเหลือเกิน ขืนปล่อยให้มีชีวิตอยู่ต่อไป เดี๋ยวจะมี คนติดยาเสพติดของเขา จนต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนกันทั่วบ้านทั่วเมือง

พอมีข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ว่า พ่อค้ายาเสพติดผู้นี้ถูกศาลตัดสินให้ประหารชีวิต ด้วยวิธียิง เป้าเท่านั้น คนสาธุกันลั่นเมืองทีเดียวโดยหารู้ไม่ว่า ได้อนุโมทนาบาปเข้าไปแล้ว เพราะไป ยินดีต่อ การที่ จะต้องฆ่าคน ยินดีต่อการที่จะมีคนถูกฆ่า แม้ทางโลกอาจจะมองว่า ในเมื่อเขาทำ ความชั่วมาเยอะ ก็สมควรแล้วที่จะต้องถูกฆ่าให้ตาย

แต่ทางธรรม เมื่อเกิดมีการฆ่ากันขึ้นมา เราจะไม่พูดในแง่ของกฎหมาย แต่เราจะพูดในแง่กฎของวัฏฏสงสาร คือ ในเมื่อเราก็ไม่ได้เป็นผู้ที่สร้างชีวิต ไม่ได้เนรมิตชีวิตใครขึ้นมา เพราะฉะนั้น ใครๆ ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปฆ่าใคร ถ้าไปฆ่าใครเข้า บาปก็เกิดแก่ผู้ฆ่าทันที

แล้วถ้าหากไปอนุโมทนาต่อการฆ่านั้น เราก็จะพลอยได้บาปไปด้วย เพราะทันทีที่เห็น ดีเห็นงาม ต่อการทำบาป ใจของเราก็จะขุ่นมัว ซึ่งพวกเราก็คงจำกันได้ดีว่า เมื่อใจขุ่นมัว ไม่ผ่องใส ถ้าตายขณะนั้น ย่อมมีทุคติเป็นที่ไป

ยังไม่พอ ตัวของเรายังได้เพาะเชื้อแห่งการขาดความเมตตากรุณาตามเขาไปด้วย เพราะว่า เจ้าคนที่ถูกประหารชีวิต เขามีเชื้อแห่งการขาดความเมตตากรุณาต่อเพื่อนร่วมโลกอยู่ในตัว เขาจึงค้ายา เสพติด วันนี้เขาถูกฆ่าตาย แล้วเราก็ดีใจ โดยหารู้ไม่ว่าเราก็กำลัง เพาะเชื้อแห่งการ ขาด ความเมตตา กรุณาต่อสัตวโลกเช่นกัน



เพราะฉะนั้น จึงฟ้องว่าจะชาตินี้ หรือชาติไหนก็ตาม เราก็พร้อมที่จะทำบาปคล้ายๆ กับเขานั่นแหละ ยิ่งไปกว่านั้น เรายังได้เพาะนิสัยจับแง่คิดไม่เป็นขึ้นมาอีกด้วย เพราะการที่ใครคนใด คนหนึ่ง ไปทำเรื่องร้ายๆ จนกระทั่งต้องถูกประหารชีวิต ถามว่าทำไมเขาถึงเป็นอย่างนั้น ?

ความจริงไม่ใช่เขาอยากจะเป็นคนเลว เขาเองก็อยากเป็นคนดี แต่เนื่องจากว่าใจของเขา ขุ่นหมองมาตั้งแต่เกิด ทำให้มีสติปัญญาน้อย เลยคิดว่าการที่ไปค้ายาเสพติดอย่างนั้นเป็นการถูกต้องแล้ว

เพราะฉะนั้น การฆ่าเขาให้ตายจึงไม่ใช่วิธีแก้ไขที่ถูกต้อง เพราะตายแล้วเขาก็ยังต้องเกิด ต่อไปอีก ถึงคราวได้กลับมาเกิดใหม่ในโลกมนุษย์ ใจของเขาก็ยังขุ่นเหมือนเดิมนั่นแหละแล้วก็คงจะ ก่อเวร ก่อกรรมเช่นเดียวกับชาตินี้อีก

แต่ถ้าจะให้เขาเลิกก่อเวรก่อกรรม ไม่ไปค้ายาเสพติดอีก ก็มีวิธีเดียว คือ จับเขามาสอน ให้รู้จักบุญ ให้รู้จักบาป เสียตั้งแต่ชาตินี้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับเขาเลย

แก้ไขให้ดีก็ไม่ได้ แถมยังจะเลวเหมือนเดิม เราก็ได้แต่ความสะใจ แล้วก็ได้บาป ติดตัว ไปเท่านั้นเอง

บางครั้งมีการตายหมู่เกิดขึ้น เมื่อท่านผู้มีธรรมไปตรวจดูปรากฏว่า พวกหนึ่งที่ไปตายหมู่ ร่วมกับเขา คือ พวกที่เคยฆ่าคนอื่นเอาไว้

ส่วนอีกพวกหนึ่ง คือ พวกที่ไปอนุโมทนาบาป ไปสนับสนุนให้เกิดการฆ่า ถึงเวลาเลยต้อง มาตายด้วยกัน นี่คือฤทธิ์ของการอนุโมทนาบาป


เพราะฉะนั้น อย่าได้ไปอนุโมทนาบาป กับใครทีเดียว ถ้าได้ข่าวการตัดสิน ประหารชีวิต อย่างมาก ก็ทำใจเพียงแค่รับรู้ว่า เป็นกรรม ของสัตวโลก ใครทำอย่างไร ก็ได้อย่างนั้น ทำใจให้เป็นอุเบกขา อย่างนี้ เชื้อบาปจะได้ ไม่เกิดกับเรา

ตรงกันข้าม ถ้าทราบว่าใครทำบุญ ให้รีบอนุโมทนาบุญกับเขาใจของเราจะ ได้สดชื่นแจ่มใส มีกำลังใจที่จะทำความดีตาม อย่างเขาบ้าง แล้วคนที่เราไปอนุโมทนาบุญด้วยเขาก็จะได้มีกำลังใจที่จะทำ ความดี ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป

ทำกันให้ได้อย่างนี้ เดี๋ยวทั้งเขาและเราคงจะได้ไปสร้างบุญร่วมกันในภายภาคหน้า ต่อไปอีก ไม่ว่าชาตินี้ หรือชาติไหน ก็มีแต่ว่าจะเอาบุญไปต่อบุญ เอาความดีไปต่อความดี อย่างนี้ถึง จะน่าอนุโมทนา

ที่มา
http://www.kalyanamitra.org/u-ni-boon/jun48/p51/c51.htm