Thursday, June 26, 2008

ว่าด้วยการเลี้ยงลูก

พ่อแม่นั้นคือพรหมของลูก จำเป็นอย่างยิ่งที่พ่อแม่ต้องมีพรหมวิหารธรรม คือ

1. มีเมตตาเอ็นดูรักใคร่ลูก
2. มีความกรุณาสงสารลูกในยามที่ลูกมีความทุกข์ไม่สบายกายไม่สบายใจ
3. มีมุทิตาความพลอยยินดีในความสุขความสำเร็จของลูก
4. มีอุเบกขา รู้จักทำใจ ปล่อยวางได้ ในยามที่ไม่อาจช่วยเหลือสนับสนุนอะไรลูกได้มากไปกว่าที่ได้ทำไปแล้ว

เด็กๆทุกคนที่เกิดมา ต่างก็มีนิสัยที่ติดตัวมาแต่กำเนิดต่างๆกัน มีพื้นฐานทางจิตใจและอารมณ์แตกต่างกัน มีความถนัด ความชอบ มีพรสวรรค์ต่างกัน มีระดับสติปัญญาแตกต่างกัน มีความสามารถทางกายภาพ มีศักยภาพแตกต่างกัน และ มีบุญกรรมโชควาสนาที่แตกต่างกันด้วย ฉะนั้น พ่อแม่ไม่ควรคาดหวังให้ลูกของตนเป็นได้อย่างลูกของคนอื่น ไม่ควรเอาลูกของตนไปเปรียบเทียบกับลูกของคนอื่น

หลักการเลี้ยงลูกที่ดีนั้น พ่อแม่ควรเลี้ยงลูกให้มีความสุข ให้ลูกช่วยเหลือตนเองได้ เป็นตัวของตัวเอง รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเอง และในที่สุด เลี้ยงลูกให้ลูกพึ่งตนเองได้ มีหลักการ 6 ข้อ ดังนี้คือ


1. จงให้ความรักแก่ลูกอย่างไม่มีเงื่อนไข


จงรักลูกของตน ในฐานะที่เขาเกิดมาเป็นลูกของเรา ไม่ใช่รักลูกเพราะลูกสวยหน้าตาน่ารัก แม้ลูกของเราอาจจะไม่สวยเหมือนลูกของคนอื่น เราก็ยังต้องรัก ไม่ใช่รักลูกเพราะลูกเรียนเก่ง แม้ลูกของเราอาจจะเรียนไม่เก่ง สอบตกบ้าง เราก็ยังต้องรัก ไม่ควรมีเหตุผลใดๆทั้งสิ้น สำหรับการที่จะไม่รักลูกของตนเอง ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกนั้น ต้องไม่มีเงื่อนไข ไม่มีคำว่า "ถ้า" เช่น ถ้าลูกเรียนไม่เก่ง พ่อแม่จะไม่รัก ถ้าลูกไม่ทำตามที่พ่อแม่สั่ง พ่อแม่จะไม่รัก ฯลฯ จงแสดงออกให้ลูกรู้ว่า ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไร เราก็จะรักเขา เพราะเขาเป็นลูกของเรา

พ่อแม่ที่ดี จะเลี้ยงดูอบรมลูกด้วยความรัก ยุติธรรม และ มีเหตุผลกับลูก จะมีผลให้ลูกมีอารมณ์มั่นคง มีความคิดสร้างสรรค์ และมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลอื่น เด็กที่เกเร โดยมากมาจากครอบครัวที่พ่อแม่ไม่ได้อบรมเลี้ยงดูบุตรอย่างถูกต้อง


2. จงให้อิสรภาพ/เสรีภาพแก่ลูกตามสมควร



2.1 อิสรภาพ/เสรีภาพทางกาย

ไม่กักขังจำกัดบริเวณแก่ลูก การที่จะอนุญาตให้ลูกไปไหนมาไหนได้ อาจกำหนดเวลากลับบ้านว่าไม่เกินสามทุ่ม เพื่อความปลอดภัยของตัวลูกเอง ถ้าลูกอยากไปดูหนังกับเพื่อน ก็ควรอนุญาตให้ไปได้ แต่ควรได้ทำความรู้จักกับเพื่อนของลูก เพื่อจะได้แน่ใจว่า ลูกเลือกคบแต่เพื่อนที่ดี

ควรอนุญาตให้ลูกพาเพื่อนมาเยี่ยมเยียนที่บ้านได้ แต่ต้องอยู่ในขอบเขต ไม่มากเกินไปจนกระทั่งลูกทำตัวเป็นใหญ่ในบ้าน


2.2 อิสรภาพ/เสรีภาพในเรื่องของรสนิยม การแต่งกาย การแสดงความคิดเห็น

พ่อแม่ควรสนับสนุนให้ลูกได้มีโอกาสตัดสินใจด้วยตนเอง โดยพ่อแม่เป็นผู้ชี้แนวทางว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควร

เพื่อฝึกให้ลูกของเรา รู้จักคิดเองเป็น จะได้ไม่เป็นคนที่เอาอย่างคนอื่น ตามก้นคนอื่น หรือถูกชังจูงได้ง่าย ควรเปิดโอกาสให้ลูกแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆได้ รับฟังลูกอย่างตั้งใจ ไม่ควรครอบงำความคิดของลูก ให้ลูกมีอิสระทางความคิดและแสดงออกได้เต็มที่ แม้เราอาจไม่เห็นด้วยกับความคิดของลูก เราก็ควรบอกลูกด้วยเหตุผลว่าทำไมเราจึงไม่เห็นด้วย เพราะอะไร และเรามีความคิดเห็นในเรื่องนั้นอย่างไร

เรื่องรสนิยม การแต่งกายของลูก ควรเปิดโอกาสให้ลูกได้คิดเอง เลือกเอง ตัดสินใจเอาตามรสนิยมของลูก เป็นการฝึกลูกให้เป็นตัวของตัวเอง

เด็กที่พ่อแม่ให้เกียรติ เคารพความคิดเห็นของลูก จะเป็นเด็กที่เชื่อมั่นในตัวเอง มีเหตุผล และไม่ดื้อรั้น จะไม่เป็นคนที่หูเบา ถูกชักจูงได้ง่าย ไม่ตามกระแส แต่จะเป็นคนมีเหตุผล รู้จักคิดพิจารณาว่าอะไรควรเชื่อ อะไรไม่ควรเชื่อ เพราะอะไร

2.3 อิสรภาพ/เสรีภาพในการศึกษาและการเลือกอาชีพ

เนื่องจากเด็กๆแต่ละคนมีความชอบ ความถนัด ความสามารถ และ พรสวรรค์ต่างกัน เด็กควรเป็นฝ่ายตัดสินใจเลือกสาขาที่จะศึกษาเล่าเรียน หรือเลือกอาชีพที่ตนเองชอบและถนัด ไม่ใช่ว่าพ่อแม่อยากให้ลูกเป็นหมอ ก็เคีี่ยวเข็ญบังคับให้ลูกเข้าเรียนแพทย์ให้ได้ ถ้าลูกไม่ชอบวิชาชีพนี้ แม้ลูกจะสอบเข้าเรียนได้ จนจบออกมาเป็นแพทย์ แต่ลูกก็จะไม่มีความสุขกับการทำงานในอาชีพนี้ พ่อแม่บางคนอยากให้ลูกเป็นนายร้อย ก็เคีี่ยวเข็ญบังคับลูกให้เข้าเตรียมทหาร และเป็นนายร้อย จปร แต่ลูกไม่ชอบอาชีพทหาร ลูกก็จะไม่มีความสุขกับการทำงานไปตลอดชีวิต หรือลูกบางคน ก็ลาออกจากอาชีพทหาร และไปประกอบอาชีพอื่นในภายหลัง

บางอาชีพ เช่น อาชีพจิตรกร เด็กๆบางคนรักการวาดภาพ แต่พ่อแม่ห่วงว่า อาจไม่สามารถเลี้ยงตัวได้ด้วยอาชีพนี้ จึงไม่อยากส่งเสริมสนับสนุนให้ลูกได้เรียนเป็นจิตรกร ทำให้ศักยภาพในตัวเด็กถูกจำกัด อันที่จริงแล้ว เด็กๆทุกคนมีเส้นทางดำเนินชีวิตของตนเอง พ่อแม่ควรทำหน้าที่เพียงส่งเสริมสนับสนุน แต่ไม่ควรตัดสินใจแทนลูก หากลูกรักที่จะเป็นจิตรกร หรือ การงานอาชีพใด จงปล่อยให้ลูกทำตามความใฝ่ฝันของตนเอง ลูกย่อมพบหนทางแห่งความสำเร็จในการงานอาชีพที่เขารักได้เสมอ

2.4 อิสรภาพ/เสรีภาพในการเลือกคู่ครอง

"ปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่" ฉันใดก็ฉันนั้น การที่ลูกจะรักจะชอบใคร พ่อแม่ไม่ควรไปมีอิทธิพลต่อลูกในการเลือกคู่ครองของตน คนที่จะใช้ชีวิตอยู่กับผู้หญิงหรือผู้ชายที่เขารัก คือ ตัวเขา ไม่ใช่พ่อแม่ สิ่งที่พ่อแม่ควรทำ คือ ทำความรู้จักกับคนที่ลูกรัก หากพบว่าคนรักของลูกเป็นคนไม่ดี พ่อแม่อาจแนะนำตักเตือนลูก เพื่อให้ลูกตาสว่าง และมองเห็นข้อเสียของคนที่ลูกรัก ส่วนการตัดสินใจจะคบหากันต่อไป หรือจะเลิกคบน้ัน ลูกต้องเป็นคนตัดสินใจเอง

ถ้าพ่อแม่เลี้ยงลูกมาอย่างมีเหตุผล ลูกก็จะเป็นคนมีเหตุผล และเลือกคู่ครองได้ไม่ผิดพลาด แต่ถ้าพ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยวิธีครอบงำความคิด ลูกก็มักจะปล่อยให้คู่ครองของตนครอบงำความคิดตนได้ เขามักจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของคู่ครองเช่นกัน เพราะเคยชินกับการถูกครอบงำ ลูกที่พ่อแม่ให้เกียรติ เคารพความคิดเห็นของลูก เขาจะไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของใครได้ง่ายๆ


3. กำหนดบทบาท หน้าที่ และ ความรับผิดชอบให้ลูก


ส่งเสริมให้ลูกรู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตน ให้โอกาสลูกได้กระทำกิจกรรมต่างๆโดยให้ลูกได้พยายามคิดและรู้จุดมุ่งหมายของงานด้วยตนเอง

เพื่อฝึกให้ลูกเป็นคนที่รู้จักหน้าที่ มีความรับผิดชอบ พ่อแม่ควรกำหนดบทบาทหน้าที่ให้ลูก เช่น ลูกคนโต ให้ช่วยดูแลเป็นธุระสอนการบ้านน้อง ลูกคนเล็ก ให้ช่วยรดน้ำต้นไม้เป็นกิจวัตรประจำวัน ฯลฯ ถ้าลูกทำหน้าที่ของตนได้ดี ไม่ละเลยหน้าที่ ก็ชมเชยลูก เพื่อให้เขามีกำลังใจในการทำหน้าที่ของเขาด้วยดีต่อไป

เมื่อลูกโตพอสมควรแล้ว ลูกอาจอยากได้รองเท้าคู่ใหม่ พ่อแม่อาจให้เงินค่าขนมเป็นรายเดือน และฝึกให้ลูกใช้จ่ายเงินนั้นให้เพียงพอต่อเดือน หากอยากได้รองเท้าใหม่ หรือสิ่งใดเป็นการพิเศษ ควรฝึกให้ลูกรู้จักหารายได้พิเศษ หรือ ประหยัดเงินเพื่อเก็บไว้ซื้อรองเท้าคู่ใหม่เอง

ไม่ควรฝึกลูกให้เอาแต่ใจตัวเอง ถ้าอยากได้อะไรพ่อแม่ซื้อให้ทันที ลูกจะไม่เห็นค่าของเงิน ต้องฝึกให้ลูกรู้จักรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายรายเดือนของลูกเองด้วย

หากลูกทำผิดอะไรมา หรือมีปัญหามาให้พ่อแม่แก้ให้ ควรรับฟังลูก และแนะนำวิธีแก้ไขปัญหา แต่อย่าไปลงมือแก้ไขปัญหาให้ลูก เพื่อเป็นการฝึกไม่ให้ลูกเป็นคนหนีปัญหา และโยนความรับผิดชอบให้คนอื่น คนที่ผูกเอง ต้องแก้เอง


4. ให้การส่งเสริมสนับสนุนลูก แต่ไม่ถึงกับโอบอุ้มไปเสียทุกอย่าง


เพื่อฝึกให้ลูกช่วยเหลือตนเองได้ พึ่งตนเองได้ในวันข้างหน้า พ่อแม่ควรฝึกให้ลูกรู้จักช่วยตนเองในทุกๆด้าน ลูกจะได้เป็นคนเก่ง ใช้ความมานะพยายาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ พ่อแม่ไม่ควรทำให้ลูกไปเสียทุกอย่าง เช่น เรื่องการสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย ลูกต้องเป็นฝ่ายหาข้อมูลเองว่า อยากเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยไหน อยู่ที่ไหน จะเดินทางไปอย่างไร จะเลือกเรียนวิชาใดดี จบการศึกษาแล้ว จะไปทำงานอะไร พ่อแม่ไม่ควรไปหาข้อมูลมาให้ลูกทุกอย่าง หรือพาลูกไปมหาวิทยาลัยเอง จะเป็นการฝึกให้ลูกอ่อนแอ เป็นลูกแหง่ ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง

เด็กที่เติบโตมาเป็นคนเก่งนั้น มักเป็นเด็กที่ต้องขวนขวายเอง เด็กจะเคยชินกับการต้องด้ินรนเอง เจอปัญหาและอุปสรรค เด็กจะคิดหาหนทางแก้ปัญหาเอง แม้เด็กอาจจะปรึกษาพ่อแม่ แต่ก็รับฟังคำแนะนำ ส่วนการนำไปปฏิบัติ เด็กต้องเป็นคนปฏิบัติเอง


5. จงใช้เหตุผล อย่าใช้อารมณ์กับลูก


พ่อแม่ต้องปกครองลูกด้วยเหตุผล ชี้แจงให้ลูกเข้าใจอย่างถูกต้อง เมื่อลูกทำผิดไม่ควรดุด่า หรือ เฆี่ยนตี ควรชี้แจงเหตุผลให้เด็กเข้าใจ ฝึกให้เด็กเป็นคนรักเหตุผล รู้ว่าผิดอะไร และที่ถูกต้อง ต้องทำอย่างไร

พ่อแม่ไม่ควรบันดาลโทสะกับลูกอย่างเด็ดขาด ถ้าเกิดอารมณ์น้อยใจ หรือโมโหลูก ควรหลบไปก่อน จนกว่าจะอารมณ์เย็น และ คุยกับลูกด้วยเหตุผลได้ จึงค่อยชี้แจงลูกว่า ลูกทำอะไรไม่ถูกไม่ควร

แต่อย่าใจเย็นจนมองไม่เห็นว่าลูกทำอะไรไม่ดีไม่งามไปบ้าง เพราะจะทำให้ลูกได้ใจ และ ไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด


6. พ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีก่อน

จำเป็นอย่างยิ่งที่พ่อแม่ต้องทำตนเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูก เพื่อให้ลูกเกิดความนิยม นับถือ และปฏิบัติตาม สิ่งใดที่พ่อแม่สอนลูกว่า ควรประพฤติปฏิบัติ สิ่งนั้น ต้องเป็นสิ่งที่พ่อแม่เองก็ทำอยู่เป็นประจำ สิ่งใดที่พ่อแม่ห้ามลูกกระทำ สิ่งนั้น พ่อแม่ต้องไม่กระทำด้วย

ถ้าจะสอนให้ลูกเป็นคนมีเหตุผล พ่อแม่ก็ไม่ควรแสดงความเจ้าอารมณ์ให้ลูกเห็น ถ้าจะสอนให้ลูกรู้จักประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือย พ่อแม่ต้องเป็นคนรู้ค่าของเงิน ใช้จ่ายเงินทองอย่างประหยัดไม่ฟุ่มเฟือยให้ลูกเห็นก่อน

พ่อแม่เองควรรักกัน ซื่อสัตย์ต่อกัน แบ่งหน้าที่กันทำ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน พูดจากันอย่างมีเหตุมีผล จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกเห็นได้ทุกวัน และลูกจะเลียนแบบพฤติกรรมของพ่อแม่


ขอให้พ่อแม่ทุกท่าน มีลูกที่รักดี สนใจศึกษาเล่าเรียน ใฝ่หาความเจริญก้าวหน้าในชีวิต รู้จักกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ ไม่นำเรื่องเดือดร้อนรำคาญใจมาสู่พ่อแม่ เป็นเด็กเฉลียวฉลาด มีเหตุผล เป็นตัวของตัวเอง นำแต่ความสุขความชื่นใจมาสู่พ่อแม่ และ เป็นที่น่าภาคภูมิใจของวงศ์ตระกูล

-----------------------------------------------
ขอขอบคุณ

http://www.oknation.net/blog/pimahn

ห่วงได้....แต่อย่าหวง

ได้ยินลูกสาวหลายๆคนบอกว่า พ่อรักมาก พ่อหวงลูกสาว พ่อสอนไม่ให้รักใคร แต่ให้รักตัวเองมากๆ เพราะไม่มีผู้ชายคนไหนในโลก ที่จะมารักลูกสาว เท่ากับที่พ่อรัก........

พ่อที่สอนลูกแบบนี้ รักลูกสาวหรือ?
หวงลูกสาว หวงเอาไว้ทำไม เพื่ออะไร?
เพื่อให้ลูกกลายเป็นสาวทึนทึก?
ความรักของพ่อ คือ การกักขังลูกสาวไว้ ไม่ให้รักผู้ชายคนใด นอกจากพ่อของตัวเอง?
ความรักของพ่อ คือ การจำกัดสิทธิเสรีภาพ อิสรภาพของลูกสาว?

แท้จริง การหวงลูกสาว คือ ความเห็นแก่ตัวของพ่อเองต่างหาก
พ่อไม่ต้องการแบ่งปันความรักของลูกสาว ไปให้ผู้ชายที่ลูกอาจรักได้มากกว่าที่รักพ่อ
พ่อต้องการเป็นหนึ่งเดียวในดวงใจลูกตลอดไป ไม่ต้องการให้มีใครมาแทนที่ในใจลูก
แล้วลูกสาวก็มีปัญหาจิตใจ รักใครไม่เป็น มีแต่ความหวาดระแวงว่าจะไม่มีใครมารักจริง
เพราะว่าพ่อ สอนไว้อย่างนั้น พ่อสอนว่า ในโลกนี้ไม่มีผู้ชายที่ดีพอสำหรับลูก
ลูกสาวจะรักหนุ่มคนไหน มากไปกว่าพ่อของตัวเองไม่ได้
พอลูกสาวเริ่มจะรักหนุ่มคนไหน ลูกก็จะเกิดความรู้สึกผิด ผิดต่อพ่อ
ผิดที่ไปรัก ไปคิดถึงเขา อยากอยู่ใกล้เขา มากกว่าที่อยากอยู่กับพ่อ
แล้วลูกสาวก็เกิดความขัดแย้งในใจ
ในที่สุด หนุ่มก็ต้องจากไป เพราะความไม่เข้าใจพฤติกรรมที่ขัดแย้ง
ไม่รู้ว่าเธอรักเขา หรือไม่รักกันแน่นะ
พอโดนหนุ่มทิ้ง ลูกสาวก็จะคิดว่า.....ใช่สินะ... พ่อพูดถูก
หารู้ไม่ว่า ตัวเอง ทำตัวของตัวเองแท้ๆ ทำให้หนุ่มต้องจากไป

พ่อที่ดี ควรแสดงความรักต่อลูกสาวอย่างไร
ผมในฐานะพ่อ ที่มีลูกสาวกำลังจะโตเป็นสาว
ความรักที่ผมมีต่อลูกสาว เพื่อความสุขของลูกสาวเอง ไม่ใช่เพื่อตัวผม
ความรักที่ปรารถนาจะเห็นลูกสาวมีความสุข
ความรักที่ปรารถนาจะเห็นลูกสาวไม่มีความทุกข์ร้อนวิตกกังวล
ความรัก ทีีพลอยยินดีในความสุขและความสำเร็จของลูกสาว
และทำใจปล่อยวาง ในเรื่องที่ลูกอาจดื้อรั้น ผิดพลาดไป
หรือดันทุรัง ทั้งๆที่ได้แนะนำตักเตือนแล้ว

พ่อรักแม่ของลูก และเชื่อเหลือเกินว่า....
วันหนึ่ง ลูกสาวของพ่อ จะมีหนุ่มท่ีจะมารักลูกพ่อ เหมือนที่พ่อรักแม่ของลูก
ลูกต้องเรียนรู้นิสัยใจคอหนุ่มที่มาชอบพอกัน เข้ากันได้ดีหรือไม่ ก่อนที่จะปล่อยใจให้รัก
ต้องลองคบหาดูใจกันไป ถ้าไปกันไม่ได้ดี ก็ต้องเลิกกันไป
แล้วคบคนใหม่ ศึกษานิสัยใจคอกันใหม่
การคบหาสมาคมกัน พ่อจะคอยแนะนำให้อยู่ในขอบเขตที่สมควร
แต่ไม่จำกัดอิสรภาพของลูกสาว
และไม่เสียใจเลย ถ้าลูกสาวจะรักหนุ่ม มากกว่าที่รักพ่อ
เพราะโดยธรรมชาติแล้ว มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือ
แม่ของลูก เขาก็รักพ่อยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดในชีวิต
แล้วทำไม ลูกของพ่อ อาจจะรักคนรักของลูก ยิ่งไปกว่าที่รักพ่อไม่ได้ พ่อเข้าใจดี
พ่อจะไม่ทำตัวเป็นคู่แข่งกับคนรักของลูก พ่อจะไม่น้อยใจ ไม่เสียใจ เมื่อลูกรักเขา
แต่พ่อ จะส่งเสริมสนับสนุนความรักของลูกให้ยั่งยืนตลอดไป
หนักนิด เบาหน่อย ก็ให้อภัยเขาได้ พ่อจะคอยแนะนำให้คำปรึกษา

เพราะความรัก ที่พ่อมีต่อลูก คือการให้อิสรภาพแก่ลูก
ให้การส่งเสริมสนับสนุนลูก เพื่อความสุข เพื่อประโยชน์ของตัวลูกเอง ไม่ใช่เพื่อพ่อ
พ่อแม่นั้นมีแต่ "ให้" อยู่แล้ว ไม่เคยต้องการอะไรจากลูก นอกจากอยากเห็นลูกมีความสุข

พ่อไม่ครอบงำความคิดของลูก พ่อเลี้ยงลูกให้เป็นตัวของตัวเอง
ลูกต้องคิดเองเป็น พ่อเลี้ยงลูกให้เป็นคนเข้มแข็ง และยืนหยัดได้ด้วยตนเอง
แม้วันหนึ่ง ไม่่มีพ่อกับแม่ ลูกก็จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างปกติสุข

พ่อคนนี้ ไม่หวงลูกสาวหรอก เพราะพ่อเลี้ยงลูกให้เป็นคนฉลาดทันคน
ลูกจะเรียนรู้ รู้จักคน เข้าใจคน และเลือกคนไม่ผิดมาเป็นคู่ชีวิต
พ่อไม่เคยต้องการให้ลูกสาว ต้องกลายเป็นสาวทึนทึก อยู่คนเดียวไปจนวันตาย
อยากให้มีใครสักคน ที่เขาจะรักและจริงใจกับลูก อยู่เป็นเพื่อนลูก
ทำให้ลูกมีชีวิตครอบครัวที่เป็นสุขตลอดไป

พ่อ ควรสร้างทัศนคติที่ดีในเรื่องของการมีครอบครัวให้กับลูกสาว
ทัศนคติที่ถูกต้อง จะทำให้ลูกสาว มีจิตใจที่สมบูรณ์ เป็นผู้ใหญ่ และเข้าใจความรัก
เข้าใจชีวิต ดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องและเป็นปกติสุข
ไม่มีอคติกับผู้ชาย ไม่มีอคติกับความรัก มีวุฒิภาวะทางอารมณ์สมวัย

ถามใจตัวเองหน่อยเถอะครับ คุณพ่อทั้งหลาย ท่านจะหวงลูกสาวเอาไว้ทำอะไรครับ
ท่านไม่อยากเห็นลูกสาวมีครอบครัวที่เป็นสุขหรือครับ หรือจะหวงไว้จนลูกสาวขึ้นคาน


--------------------------------------------
ขอขอบคุณ

http://www.oknation.net/blog/pimahn

บทเพลง "พุทธคุณ"

ขับร้องโดย :: โยธิน พรหมดี
ประพันธ์โดย :: ศรันย์ ไมตรีเวช
จัดทำมิวสิควิดีโอโดย :: กวิน ฉัตรานนท์

ผู้ประพันธ์เพลง เรียบเรียงเพลงนี้ขึ้นเพื่อบูชาพระพุทธคุณ
อันได้แก่ พระวิสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ
แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า _/|\_

งามรุ่งเรืองบรรเจิดจับตาลึกซึ้งแปลก
เพียงแรกแลบันดาลปีติเอ่อพ้นพรรณนา
เห็นลีลาพาใจให้เย็นระงับนิ่ง
ทุกทุกสิ่งรอบรายกลับกลายภิรมย์สิ้น
ความไร้มลทินอันยากเปรียบปาน
ความสราญวิมลแห่งผู้รู้
สุดแห่งยอดครู องค์สัพพัญญูเอก

ความซับซ้อนโอฬารที่มีที่เป็นอยู่
ครวญคิดดูเหมือนไร้ผู้อาจหยั่งรู้สิ้นแล้ว
แม้พบปราชญ์ผู้แพรวปัญญาแสนเรืองรอง
ได้เรียนลองไตร่ตรองนานช้ารู้จำพ่าย
เพียงผู้ได้เป็นนายแห่งปัญญา
จึงกาจกล้าท่วงทันสัจจะนั้น
เลิศยิ่งสามัญ ปัญญาพระพุทธส่อง

กลางหนทางวิบากยังมีศาลาร่ม
ให้ชื่นชมธาราแห่งความการุณย์อันแท้
ซาบซึมแผ่ผ่านใจอันร้อนด้วยไฟใหญ่
ดับเชื้อไฟให้สิ้นสุดลงสิ้นทางต่อ
แบกรับกรรมเพียงพอแค่ชาตินี้
ได้จบทีเพราะมีเส้นทางไว้
ให้ได้โพล่งพลันสู่การรับรู้ใหม่
พระผู้จอมธรรมตถาคตพระองค์นั้น…



ขอขอบคุณ http://dthursday.multiply.com

Thursday, June 12, 2008

น้ำใจ

Photobucket

ภาพประทับใจ เด็กสองคนต้องเสี่ยงกับชีวิตตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตสุนัขตัวหนึ่ง อยากให้สังคมไทยเป็นอย่างนี้ตลอดไป....
ขอขอบคุณ oknation.net

Saturday, June 7, 2008

ก่อนตัดสินใจแต่งงาน - ตอบคำถามนี้ก่อน



เห็นสาวๆทั้งหลายวิตกกังวลกันเหลือเกินว่า หลังแต่งงานแล้ว ชีวิตรักจะชืดจืดจางไม่มีรสชาติ อยู่เป็นคู่รักกันไปนานๆดีกว่า ส่วนมากที่อยู่เป็นคู่รักกันไปนานๆ มักจะไม่ได้แต่งหรอกครับ เพราะไม่มีความจำเป็นต้องแต่งงาน เกิดเป็นความเคยชิน ยิ่งถ้าฝ่ายชายไม่ได้คิดอยากจะมีทายาทแล้วละก็ เขาคงไม่คิดจะแต่งงานให้เป็นภาระหรอกครับ

ส่วนหนุ่มๆทั้งหลายก็วิตกกังวลว่า หากแต่งงานไปแล้ว ชีวิตจะขาดอิสรภาพ มีห่วงคล้องคอ จะไปไหนมาไหน ต้องมาคอยตอบคำถาม โดนซักฟอกกันให้ปวดหัวรำคาญใจ ก็เลยอยากใช้ชีวิตโสดให้คุ้มค่าไปนานๆก่อน จนกลายเป็นความเคยชิน และไม่อยากแต่งงาน นอกจากจะโดนมัดมือชกจริงๆ หรือตกกระไดพลอยโจน

ก่อนตัดสินใจแต่งงาน ตอบคำถามต่อไปนี้ดูก่อนเป็นไร:


1. เรารักเขาไหม?

เป็นคำถามที่สำคัญที่สุด เพราะถ้าปราศจากความรักแล้ว ไม่ควรแต่งงานอย่างเด็ดขาด และคำว่ารัก ในที่นี้ คือ ต่อไปนี้ คงไม่ไปหลงรักใครอีกแล้ว คนที่เราจะแต่งงานด้วย คือรักครั้งสุดท้ายของเรา และเราจะไม่คิดไปสร้างสัมพันธ์รัก สัมพันธ์สวาท กับใครอีก ไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองไปใกล้ชิดสนิทสนมกับเพื่อนต่างเพศจนเกิดเป็นความรัก ความผูกพันได้อีก นอกเสีียจากว่า คู่ครองของเราจะตายจากเราไปแล้วเท่านั้น


2. เราพร้อมทางด้านจิตใจหรือเปล่า?

คือ พร้อมที่จะร่วมทั้งทุกข์ ร่วมทั้งสุข ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากที่แต่งงานกันไปแล้ว เราพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา โดยไม่คิดจะทอดทิ้งกันเสียก่อน เขาอาจจะเจ็บป่วย หรือ พิการหลังจากที่แต่งงานกันไปแล้ว เราพร้อมที่จะดูแลเขาไหม หรือเขาอาจจะตกงาน ไม่มีเงิน เราพร้อมที่จะช่วยกันก่อร่างสร้างตัวไหม หรือถ้าเขาอาจทำอะไรผิดพลาดไป หรือ ทำอะไรให้เราโกรธไม่พอใจ เราพร้อมที่จะอภัยให้เขาได้ไหม ถ้าเราคาดหวังเพียงความสุขจากการแต่งงาน ไม่ควรแต่งงานอย่างเด็ดขาด เพราะชีวิต คงไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไปหรอกนะครับ


3. เราพร้อมทางด้านการเงินไหม?

มีหน้าที่การงานที่มั่นคง มีรายได้เพียงพอ มีเงินเก็บจำนวนหนึ่งที่พอจะเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดงานแต่งงานได้ และยังพอมีเงินสำรองได้บ้างอีกจำนวนหนึ่งไว้ยามฉุกเฉิน เพราะ ความรัก ถ้าขาดเงิน ความรักก็ไม่หวานหรอกนะ ถ้าต้องพากันไปกัดก้อนเกลือกิน ความเครียดจะมีตามมา เมื่อเครียดแล้ว ก็อาจทะเลาะเบาะแว้งกันได้ อารมณ์รัก อารมณ์ใคร่ ก็จะลดลง คนบางคนก็จะพาลโทษคู่ของตนเอง โยนความผิดให้กันและกันในยามมีอารมณ์เครียด ถ้ายังมีปัญหาเรื่องเงินอยู่ ก็อย่าเพิ่งแต่งงาน รับผิดชอบตัวเองให้ได้ก่อน อย่าแต่งงานเพราะอยากหาที่พึ่งทางด้านการเงิน เพราะนั่น คงไม่ใช่ความรัก แต่เป็นความโลภ อยากสุขสบายโดยไม่ต้องทำงาน อยากได้ในสิ่งที่เขามีเพื่อเอามาเป็นของตนเอง เราเองก็คงไม่ชอบใจนัก ถ้ารู้ว่า คนที่อยากแต่งงานกับเรา ไม่ใช่เพราะรักเรา แต่เพราะเห็นแก่เงินของเราต่างหาก สิ่งใดที่เราไม่ชอบให้คนอื่นทำกับเรา เราเองก็ไม่ควรทำอย่างนั้นกับคนอื่นเช่นกัน


4. เราพร้อมทางด้านร่างกายหรือเปล่า?

ความรักและการแต่งงาน จำเป็นต้องมีเรื่องความต้องการทางเพศเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตการแต่งงานด้วย เรามีทัศนคติเรื่องเพศสัมพันธ์ถูกต้องหรือไม่ ถ้าเราเห็นเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องจำเป็น นั่นเราคิดผิดแล้ว ทั้งหญิงและชาย ต้องเรียนรู้ที่จะทำให้คู่ของตนมีความสุขทางเพศ หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบกพร่อง อาจมีปัญหาเรื่องการนอกใจตามมาได้ เพราะเพศสัมพันธ์ เป็นแรงขับภายในร่างกายตามธรรมชาติ หรือถ้าเราคิดว่า ยังอยากสนุกกับการมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นที่ไม่ใช่คู่ครองของเรา ถ้าคิดอย่างนี้ก็อย่าเพิ่งแต่งงานเลย เพราะขืนแต่งงานไป ปัญหาบ้านแตกก็คงมีตามมา และคู่ครองของเรา ก็คงไม่มีความสุขในชีวิตแต่งงานเป็นแน่

ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อยากมีลูก ควรต้องคุยกันก่อนแต่งงาน เพราะถ้าหลังจากแต่งงานแล้ว อาจไม่มีลูกสมใจหมาย ปัญหาในชีวิตสมรส ก็อาจมีตามมาได้ ผู้ชายอาจจะอ้างได้ เรื่องการมีผู้หญิงอีกคนหนึ่ง เพื่อจะมีทายาทให้กับตนเองได้ หรือฝ่ายหญิงอาจอยากมีลูก แต่ฝ่ายชายเป็นหมัน ปัญหาความคับข้องใจก็อาจมีตามมาได้ ควรได้นำเรื่องการมีลูกมาคุยกันก่อนแล้วก่อนแต่งงาน ถ้าทั้งสองฝ่ายรักกัน และไม่ได้มีเป้าหมายว่า จะต้องมีลูกด้วยกัน จึงควรจะแต่งงานกัน จริงๆแล้ว ลูก ไม่ใช่โซ่ทองคล้องใจ สำหรับคู่สมรสบางคู่ บางคนมีลูกด้วยกัน 1 - 4 คน แต่ก็ยังหย่าร้างกันได้ บางคนไม่มีลูกด้วยกัน แต่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจนวันตายก็มีหลายคู่

ถ้าเรามีโรคประจำตัว หรือมีสุขภาพไม่ดี ควรได้คุยกันก่อนแต่งงาน ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งไม่รังเกียจ และยินดีจะดูแลเรา ก็ควรแต่งงานกัน ไม่ใช่ปิดบังเอาไว้ แล้วไปรู้เอาทีหลัง หลังจากที่แต่งงานกันไปแล้ว ถ้าเรารู้ตัวว่าตนเองอาจเป็นภาระของอีกฝ่ายหนึ่ง ก็ไม่ควรคิดเอาเปรียบ ด้วยการหลอกให้เขามาแต่งงานกับเรา เว้นไว้เสียแต่ว่า อีกฝ่ายหนึ่งนั้น เขารักเรามาก และยินดีจะร่วมทุกข์ร่่วมสุขด้วย แม้เราจะมีโรคประจำตัว ยังไงๆก็ควรบอกกันให้รู้ก่อนดีกว่าการปิดบังอำพราง


การแต่งงาน คือ การที่คนสองคนที่รักกัน ตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันไปตลอดชีวิต จะยินดีร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ทั้งในยามเจ็บไข้ได้ป่วยและยามมีสุขภาพดี ทั้งในยามขัดสนและยามมั่งมีศรีสุข เขาสองคนจะไม่ทอดทิ้งกัน จะรักและซื่อสัตย์ต่อกัน โดยไม่มีชายอื่นหรือหญิงอื่นอีกแล้ว การแต่งงาน ทำให้คนสองคน กลายเป็นคนเดียวกันตามกฏหมาย และหล่อหลอมดวงใจสองดวงให้เป็นดวงเดียวกัน

ถ้าเมื่อไรเรารักใครได้อย่างน้ี และมีทัศนคติต่อการแต่งงานแบบนี้แล้ว รีบแต่งงานกันเถอะครับ จะได้มีความสุขด้วยกันตลอดชีวิต แม้ในยามที่ชีวิตมีปัญหา คนรักกันก็จะกอดกันไว้ ให้กำลังใจกัน ไม่กล่าวโทษกัน ไม่ซ้ำเติมกัน และจะร่วมกันฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหลายในชีวิตไปได้

ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน ได้แต่งงานกับคนที่เรารัก และเขาก็รักเราอย่างจริงใจ ได้ใช้ชีวิตสมรสอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข รักกัน เข้าใจกัน ยอมรับซึ่งกันและกัน และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตลอดไปนะครับ

ขอขอบคุณ oknation.net/blog/pimahn

Wednesday, June 4, 2008

ระลึกนึกถึงความตาย

เรียบเรียงจากพระธรรมเทศนา พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)

กลัวก็ต้องตาย ไม่กลัวก็ต้องตาย ทุกคนล้วนตายหมด และก็เคยตายกันมาแล้วทั้งนั้น

ความตายเป็นสิ่งที่เราจะต้องนำมาคิด คิดถึงความตายวันละนิด จิตแจ่มใส เพราะจะทำให้เราดำเนินชีวิตได้อย่างถูกวัตถุประสงค์ของการเกิดมาเป็นมนุษย์ จะไม่ประมาท จะสั่งสมบุญอยู่ตลอดเวลา


จะไม่คร่ำครวญเมื่อชีวิตลำเค็ญ เพราะรู้ว่า เราจะลำเค็ญอยู่ในโลกมนุษย์ไม่กี่ปี ก็ตายแล้ว โดยเฉพาะอายุขัยเฉลี่ยมนุษย์ในยุคนี้แค่ ๗๕ ปี

เพราะฉะนั้น ลำเค็ญก็ลำเค็ญไม่นาน ยากจนก็ยากจนประเดี๋ยวประด๋าว อย่าไปทุกข์ใจกันเลย สั่งสมบุญกุศลกันไป เราไปเอาดีกันภพเบื้องหน้า ไปศึกษาเรื่องเหตุและผลของการที่เรามาเป็นอยู่ปัจจุบัน ผลที่เราลำเค็ญ ลำบาก อัตคัด เรื่องปัจจัยสี่ เป็นเพราะเราประกอบเหตุไว้ในอดีตคือ ความตระหนี่ หวงแหนเสียดายทรัพย์ ไม่สั่งสมบุญเอาไว้

โดยเฉพาะเราอาจจะเป็นคนเคยรวย รวยมาก มีทรัพย์มาก พอมีทรัพย์มากใครมาชวนทำบุญ เราก็อาจจะมีความคิดว่า เรารวยขึ้นมาเพราะหนึ่งสมองสองมือ ไม่ใช่เพราะอย่างอื่น ทำให้เราเกิดมีมานะทิฏฐิ และประมาทในการดำเนินชีวิต เราก็พยายามจะใช้ทรัพย์นั้นเพื่อแสวงหาทรัพย์และแสวงหาความสุขต่อไป คือเราเข้าใจว่าได้มาด้วยฝีมือ แล้วมีทิฏฐิมานะ ใครจะมาเป็นกัลยาณมิตรชักชวนให้ทำความดี ก็จะถือเนื้อถือตัว ไม่ต้อนรับบ้าง ไม่ยอมรับคำแนะนำบ้าง แม้จะต้อนรับทางกายก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่เราประกอบเหตุเอาไว้ เพราะมีความตระหนี่เราจึง มาลำบากลำเค็ญในชาตินี้ เพราะฉะนั้นลำเค็ญ ประเดี๋ยวประด๋าวก็จะหมดเวลาแล้ว สั่งสมบุญกันไปเถอะนะลูกนะ

ส่วนใครที่ร่ำรวยก็พึงคิดต่อไป รวยแค่ประเดี๋ยวเดียวเช่นกัน จะรวยกี่แสนล้าน ก็รวยประเดี๋ยวเดียว ก็ต้องตาย แล้วจะรวยแค่ไหนก็ตาม มีบ้านกี่พันหลังก็อยู่ได้ทีละหลัง มีเตียงกี่พันเตียงก็นอนได้ทีละเตียง มีห้องกี่พันห้องก็นอนได้ทีละ ห้อง มีรถกี่พันคันก็นั่งได้ทีละคัน มันทีละคันเท่านั้นเอง ที่เหลือก็ต้องเสียค่าบำรุงดูแลรักษากันไป จ่ายกันไป ได้ปลื้มหน่อยที่ว่า เรามีเหนือกว่าคนอื่น หรือเท่าคนอื่นเขา หรือที่คนอื่นเขาไม่มี ก็แค่นั้น แล้วก็ตาย มัวแต่ปลื้มกันอยู่อย่างนี้ หรือสนุกเพลิดเพลิน เพราะเรามีทรัพย์มาก สนุกสนาน เฮฮากันบ้าง หรือเอาทรัพย์ต่อทรัพย์ มัวแต่ทำมาหากินอย่างเดียว ไม่ได้สั่งสมบุญ เพลินกับสเตทเม้นท์ ดูตัวเลข ขึ้นไปหลักสองแสนกว่าล้าน สามแสน สี่แสนล้าน อะไรต่างๆ ปลื้มไม่กี่ทีก็ตายแล้ว

ถ้าไม่สั่งสมบุญเอาไว้ สิ่งที่เราสร้างไว้ตอนที่เรามีบุญอยู่เป็นมนุษย์ ถ้าตายตอนนั้น แล้วมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ ไม่ได้อยู่ที่เดิม สิ่งที่เราเคยสร้างไว้ ไม่ได้อยู่ที่เดิม เหมือนลูกคนขอทานคนหนึ่ง อดีตเป็นเศรษฐี แต่เป็นคนตระหนี่ ไม่สั่งสมบุญ พอตายแล้ว ได้มาเข้าท้องคนขอทาน พออยู่ในครรภ์มารดา ขนาดขอทาน ยังไม่มีใคร มีอารมณ์ให้ คลอดลูกออกมาพาไปขอทานที่ไหน ก็อด ลำบาก จนกระทั่งโตพอช่วยเหลือตัวเองได้ ก็ส่งกะลาให้ลูก ลูกเอ๋ย นี่คืออุปกรณ์ทำมาหากินของลูก ทีนี้พอถือไป ไปที่ไหนเขาก็ไล่ออกมาอีก แล้วแถมหน้าตาก็อัปลักษณ์เหมือนปีศาจคลุกฝุ่นอย่างนั้น แต่เพิ่งตายหยกๆ พอจะมีบุญระลึกชาติได้ เดินผ่านอดีตบ้านเก่าของตัว จำได้ นี่บ้านของเรา นั่นลูกชายเรา แต่ใครจะไปจำได้
เพราะว่าอยู่ในยูนิฟอร์มใหม่ มาในมาดของลูกขอทาน ด้วยร่างกายที่อัปลักษณ์ ประดุจปีศาจคลุกฝุ่นอย่างนั้น ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปใช้ทรัพย์ของตัวในอดีตชาติที่ตัวเคยรวย และสร้างมากับมือ เราจะไปอ้างสิทธิ์ว่า ชาติที่ผ่านมา ฉันเคยอยู่บ้านนี้ สร้างมากับมือ ไม่เชื่อไปดูขุมทรัพย์อะไรต่างๆ อย่างนั้นอย่างนี้สิ ก็ไม่มีใครเชื่อมีแต่จะจับโยนออกจากบ้าน

เพราะฉะนั้น ก็แปลว่า รวยก็รวยไม่กี่ปีในเมืองมนุษย์ จึงควรนำทรัพย์ที่เราหามาได้ เอามาเป็นบุญต่อบุญ สมบัติต่อสมบัติกันดีกว่า มาทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่โลก มาสั่งสมบุญ เพราะบุญจะได้เต็มที่ต่อเมื่อทรัพย์นั้นได้มาด้วยการประกอบสัมมาอาชีวะ การจะประกอบอาชีพ เป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่ว่าอะไรก็ได้ ขอให้ได้ปัจจัยสี่ มาเลี้ยงชีวิต จะไปเบียดเบียนใครก็ได้ อย่าคิดอย่างนั้น เพราะว่ามันมีวิบากกรรมรองรับอยู่ เป็นกฎที่ไม่มีใครจะเอาชนะได้ ทุกคนภายในโลกนี้ แม้แต่พระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก ก็ยังตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม เทวดาเหาะเหินเดินอากาศได้ ก็ยังตกภายใต้กฎแห่งกรรมทั้งสิ้น มนุษย์ยังขาดแคลนความรู้ตรงนี้ มามีความรู้ตรงนี้ต่อเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นมาโปรด จึงเป็นความรู้สากลที่ทุกคนจะต้องศึกษาไว้ เพื่อจะดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง

เพราะฉะนั้น รวยก็ประเดี๋ยวเดียว อย่าชะล่าใจ สั่งสมบุญเอาไว้ให้ดี และบุญจะต้องได้มาจากทรัพย์ที่ประกอบสัมมาอาชีวะ นี่เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาไว้ แม้ทรัพย์น้อย แต่หัวใจเกินร้อย เลื่อมใสในพระรัตนตรัยก็มีบุญใหญ่ได้ ได้บุญใหญ่ ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ได้ นี่เป็นสิ่งที่ต้องศึกษากัน

ขอขอบคุณ วารสารอยู่ในบุญ kalyanamitra.org

Tuesday, June 3, 2008

การทำแท้งด้วยความจำเป็น เช่น ผู้หญิงที่ถูกข่มขืน เป็นบาปหรือไม่เจ้าคะ ?

การทำแท้งด้วยความจำเป็น เช่น ผู้หญิงที่ถูกข่มขืน หรือขณะตั้งครรภ์ เกิดป่วย เป็นโรคหัดเยอรมัน ถ้าปล่อยให้เด็กคลอดออกมาก็จะพิการ การทำแท้งด้วย ความจำเป็นอย่างนี้ เป็นบาปหรือไม่เจ้าคะ ?

คำถามนี้หลวงพ่อเข้าใจว่า เป็นคำถามซึ่งค้างคาใจของหลายๆ คนที่กำลังฟังอยู่เหมือนกัน

ในเรื่องของการทำแท้งนั้น ไม่ว่าจะทำแท้งเพราะถูกข่มขืน หรือว่าขณะตั้งครรภ์เกิดป่วย เป็นโรคหัดเยอรมันก็ตาม ถ้าถามว่าบาปไหม ก็ตอบได้ชัดเจนลงไปเลยว่า เป็นบาปแน่นอน เพราะการทำแท้ง คือ การฆ่าคน เมื่อขึ้นชื่อว่าฆ่าเสียแล้ว ย่อมเป็นบาปทั้งนั้น

ถึงจะบอกว่า ถูกข่มขืน ไม่ได้เต็มใจที่จะท้องเลย หรือว่าเต็มใจ ที่จะมีครรภ์ในครั้งนี้ แต่ว่าเกิดป่วยเป็น โรคหัดเยอรมันขึ้นมา หากปล่อยให้เด็กคลอด ออกมา ก็เสี่ยงเหลือเกินที่เขาจะพิกลพิการ

ไม่ว่าจะเสี่ยง หรือไม่เสี่ยง จะเต็มใจที่จะมีครรภ์ หรือไม่เต็มใจ ถ้ามีการฆ่ากันเมื่อไหร่ ก็เป็นบาปเมื่อนั้น เพราะว่านิสัยโหดร้าย ได้เข้ามาในกมลสันดาน ของมนุษย์เสียแล้ว

เนื่องจากมนุษย์นั้น มีศักดิ์ศรีเหนือกว่าสัตว์ตรงที่ไม่ฆ่านี่เอง ถ้าถามว่า รักที่สุดในชีวิตของเราคืออะไร มนุษย์ทุกคนตอบเหมือนกัน ทั้งโลกนั่นแหละ ว่ารักชีวิตของตัวเองที่สุด

อย่าว่าแต่มนุษย์เลย แม้หมูหมากาไก่ถ้ามันพูดได้ ไปถามเถอะ ว่ารักอะไรที่สุด มันก็ตอบแบบเดียวกับมนุษย์ คือรักชีวิตของมันที่สุด

ถึงมันจะไม่เคยบอกเรา แต่เราก็สามารถจะรู้ได้ ไม่เชื่อลองไปเงื้อมือ เงื้อเท้าทำท่าว่าจะตี จะทำร้ายมัน มันจะรีบวิ่งหนีไปทันที แสดงว่าสัตว์ทั้งหลาย ก็รักชีวิตของมัน ไม่น้อยไปกว่าเราเลย

นั่นคือ ใครๆ ก็รักชีวิตของตนเอง เพราะฉะนั้น ใครๆ ก็ต้องไม่ฆ่าใคร ถ้าไปฆ่าใครเขาเข้า ก็เป็นบาป

เพราะฉะนั้น แม้ลูกจะอยู่ในท้องของคุณ แล้วคุณก็ไม่อยากจะให้เขาเกิด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่เมื่อเขามาเกิดในท้องของคุณ เขามีชีวิตแล้ว ถ้าคุณไปฆ่าเขา คุณก็บาป

หรือว่าก็อยากจะให้เขาเกิดหรอก แต่ถ้าปล่อยให้คลอดออกมา แล้วเขาพิการจะว่าอย่างไร พิการก็พิการ เพราะคนเราถึงพิการ อย่างไรคุณค่าของ ความเป็นคน ก็ยังดีกว่าสัตว์อยู่นั่นเอง

ยกตัวอย่าง เคยคิดกันบ้างไหม ว่าตัวของเรานี่แหละ ถ้าเกิดไปประสบอุบัติเหตุ ถึงกับต้องแขนขาด ขาขาด แถมเสียลูกนัยน์ตาไปอีก ๑ ข้าง ซึ่งถือว่าพิการอย่างหนักทีเดียว

ถามว่าเมื่อเคราะห์หามยามร้าย ต้องพิการขนาดนี้แล้ว น่าจะฆ่าตัวตายไหม ก็ไม่น่าฆ่าตัวตายหรอก เพราะถึงพิการอย่างไร ถ้าหากรักษาใจเป็น ใจก็ไม่ได้พิการไปด้วย

เมื่อใจไม่พิการ ก็สามารถสร้างบุญ สร้างกุศลต่อไปได้ เพราะว่าปากยังพูดได้ ยังสวดมนต์ได้ ศีรษะก็ไม่ถึงกับยุบ ยังสามารถศึกษาธรรมะได้ ถึงจะมีสภาพพิกลพิการอย่างไร ก็ยังดีกว่าสภาพของสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งหมดสิทธิ์ในการทำความดี

เพราะฉะนั้น อยากฝากไว้เป็นข้อคิดสำหรับคุณแม่ในอนาคตทั้งหลาย ไม่ว่ากรณีถูกข่มขืน หรือว่าเจ็บไข้ได้ป่วย กลัวว่าลูกที่คลอดมาแล้วจะพิกลพิการ ลูกเอ๊ย ปล่อยให้เขาเกิดออกมาเถิด

ในเมื่อหมูหมากาไก่ แม้กระทั่งมดปลวก ยังรักชีวิตของมันเลย แล้วลูกของเราที่อยู่ในท้อง เขาก็กลัวตายเหมือนกันนั่นแหละ

ส่วนที่ว่าถ้ากลายเป็นปัญหาของสังคมจะทำอย่างไร ปัญหาเหล่านี้ เช่น การถูกข่มขืน ความจริงนอกจากเป็น ปัญหาของสังคมแล้ว ยังเป็นเรื่องของ กรรมอีกต่างหากด้วย คือ

กรณีที่ ๑ การที่ใครคนใดคนหนึ่งจะถูกข่มขืนนั้น สิ่งที่ตัวเองจะต้องมองก็คือ

๑. การแต่งเนื้อแต่งตัวของเราเหมาะสมหรือไม่ เราแต่งเนื้อแต่งตัว ล่อแหลมหรือไม่ เช่น ข้างบนก็เปิด ข้างล่างก็หดสั้นขึ้นมาสุดๆ อย่างที่เรียกว่า แต่งตัวไปล่อตะเข้ อย่างนี้โอกาสที่จะถูกข่มขืนก็มีไม่น้อย

๒. การวางตัวของเราเหมาะสมหรือไม่ การแต่งเนื้อแต่งตัวก็เรียบร้อยหรอก แต่ว่ากิริยาท่าทางของเรานั้น บาดหูบาดตาชาวบ้าน เขาเหลือเกิน เพราะพวกที่คิด ไม่ดีย่อมมีอยู่ในโลก จะไปห้ามไม่ให้เขาคิดไม่ดี เราห้ามไม่ได้ ที่ห้ามได้คือ ห้ามตัวเองที่จะไม่ไปทำอะไรที่ล่อแหลมให้ใครๆ เห็น

๓. ไปในที่ไม่ควรไปหรือไม่ การแต่งเนื้อแต่งตัว การวางตัวก็เหมาะสมดีแล้ว แต่ความระวังตัวที่จะไปในที่ไม่ควรไปมีหรือไม่

๔. อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีหรือไม่ มีความระมัดระวังในทุกสิ่ง ทุกอย่างดีแล้ว ถ้าอย่างนั้นเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีหรือไม่

ถ้าหากทั้ง ๔ ประการที่กล่าวมานี้ เหมาะสมหมดทุกอย่าง อย่างนั้นก็เป็นกรรมเก่าของเราแล้วล่ะลูก

เมื่อเป็นเรื่องกรรมเก่าก็ต้องยอมรับ แต่ว่าอย่าได้คิดที่จะไปฆ่าใครอีกเลย เดี๋ยวจะกลายเป็นบาปซ้อนบาปขึ้นมาอีก

คือกรรมเก่าเนื่องจากเวรกาเมฯ ที่ติดตัวมา จึงทำให้ถูกข่มขืน แล้วชาตินี้ยังมาฆ่าลูก ในท้องของตัวเอง สร้างเวรปาณาติบาต เพิ่มเข้ามาอีก แล้วเมื่อไหร่ถึงจะหมดเวรกันเสียที

เพราะฉะนั้น ในกรณีที่ถูกขมขืน จะไปแก้ไขที่ใครคนใดคนหนึ่งนั้นไม่ได้ คงต้องมองกันถึงระดับครอบครัว และระดับสังคม ว่ามีสิ่งใดบ้าง ที่จะเป็นสาเหต ุแห่งการยั่วยุทางเพศ ทำให้กามกำเริบได้ง่าย เมื่อพบแล้วก็ต้องรีบช่วยกันกำจัดออกไป

ยกตัวอย่าง การนุ่งการห่ม การแต่งเนื้อแต่งตัวของผู้หญิงไทยในขณะนี้ ช่างขาดความระมัดระวัง ชอบแต่งตัวโป๊ๆ เปลือยๆ กันเหลือเกิน

เมื่อเป็นอย่างนี้ แม้ว่าตัวเองจะไม่โดนข่มขืน แต่ว่าก็มีโอกาสที่ จะทำให้กามราคะของ ผู้ชายบางคนกำเริบ แล้วไปทำร้ายผู้หญิงอื่น ทำให้ผู้หญิงอื่น ต้องถูกข่มขืน สิ่งเหล่านี้เป็นไปได้ทั้งนั้น

การแสดงโชว์ตามแหล่งอบายมุขต่างๆ ที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ ก็เป็นสิ่งยั่วยุให้กามราคะของมนุษย์กำเริบได้ง่าย ก็เลยทำให้คนดีๆ พลอยถูกข่มขืนไปด้วย

ซึ่งปัญหาเหล่านี้ ไม่ใช่แค่ตัวคุณหนู หรือลูกคุณโยม หลานคุณโยม จะมาแก้ไขกันเองตามลำพัง นี่เป็นปัญหาระดับสังคม ระดับประเทศชาติ ที่รัฐบาลและทุกคน ในประเทศต้องหันหน้ามาดูแล และหาทางแก้ไขกันต่อไป

กรณีที่ ๒ คุณผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ แล้วเกิดมาป่วยด้วยโรคหัดเยอรมัน ถ้าปล่อยให้เด็กคลอดออกมา เด็กอาจจะพิการได้ ในกรณีนี้ ก็อยากจะฝากไว้ว่า ต้องกู้สุขภาพกันให้ถึงที่สุด หาทางที่จะแก้ไขเจ้าลูกน้อยที่อยู่ในครรภ์ กันสุดๆ ก็แล้วกัน

ส่วนช่วยได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น เพราะถึงลูกที่อยู่ในท้อง อาจจะพิกลพิการไปบ้าง แต่ถ้าเทียบกับชีวิตมด ชีวิตปลวก ชีวิตสัตว์อื่นๆ ลูกของเราก็ยังมีคุณค่ากว่าเยอะ

เพราะฉะนั้น เปิดโอกาสให้เขาได้เกิดมาเก็บบุญ เก็บกุศล ติดตัวไปอีกสักหน่อย ถึงแม้ว่าแกอาจจะต้องลาโลกไปเร็วกว่าคนอื่นบ้าง ก็ช่างเถอะ

คิดเสียว่า สงสารสัตวโลกที่จะต้องมาหมดโอกาส สร้างบุญ สร้างความดี เพราะน้ำมือของเรา ผู้ได้ชื่อว่าเป็นแม่เลย

หลวงพ่อเองก็คงจะฝากข้อคิดเอาไว้แต่เพียงเท่านี้ กลับไปพิจารณาให้ดีก็แล้วกัน อย่าต้องกลายเป็นฆาตกรมือน้อยๆ กันเลย

ขอขอบคุณ http://www.kalyanamitra.org

Sunday, June 1, 2008

วีซีดีอบรมธรรมะคอร์ส 1 และ 2,3


ผลที่ได้รับจากการอบรมธรรมะคอร์สที่ 1 (ใช้เวลา 1 วัน เวลา 09.00น.- 19.00 น.)
1.
ท่านจะมีความเข้าใจในศาสนาพุทธอย่างแท้จริงโดยที่ท่านไม่เคยรู้มาก่อน
2.
ท่านจะมีความเข้าใจในเรื่องของบุญอย่างถูกต้องและลึกซึ้ง ซึ่งจะทำให้รู้วิธีเพิ่มบุญวาสนา บารมี จนทำให้ตนเองสามารถประสบความสำเร็จได้
3.
ท่านจะมีีความเข้าใจในการทำสมาธิที่ถูกต้อง (สัมมาสมาธิ) ซึ่งจะทำให้ท่านสามารถทำสมาธิขั้นต่ำ ทำสมาธิขั้นกลางและทำสมาธิขั้นสูงได้ นั่นก็คือการทำรูปฌาณ 4 นั่นเอง
4. จะทำให้ท่านมีโอก
าสรอดพ้นจากนรกและอบายภูมิ ถึงประมาณ 10% (ซึ่งเฉพาะการอ่านหนังสือ "ความสำเร็จที่มาจากพระพุทธเจ้า" เล่มนี้จบนั้นท่านจะมีโอกาสรอดพ้นจากนรกและอบายภูมิ ประมาณ 2-5% เท่านั้น)


ผลที่ได้รับจากการอบรมธรรมะคอร์สที่ 2,3 (ใช้เวลา 3 วัน 2 คืน)
1. ท่านจะมีความเข้าใจในประเภทของกรรมอย่างละเอียดตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้
2.
ท่านจะได้รู้จักกรรมที่ทำให้ท่านตกนรกอย่างรวดเร็ว
3.
ท่านจะ้รู้วิธีทำกรรมที่ทำให้ท่านเป็นมหาเศรษฐีได้ภายใน 7 วัน
4. ท่านจะรู้วิธีทำกรรมที่สามารถเลือกเกิดเป็นอะไรก็ได้ตามที่ใจปรารถนา
5.
ท่านจะเป็นคนที่มีความสุขมากกว่าความทุกข์
6. ท่านจะเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ที่ยาวไกล และมีจุดมุ่บงหมายในชีวิตที่ชัดเจน
7.
จะทำให้ท่านสามารถรอดพ้นจากนรกมากถึงประมาณ 80%

VCD คอร์ส 1 จำนวน 9 แผ่น ราคา 720.- รวมค่าจัดส่ง ( EMS )

VCD คอร์ส 2,3 จำนวน 24 แผ่น ราคา 1,765.- รวมค่าจัดส่ง ( EMS )

ผูู้้สนใจสามารถเดินทางมาซื้อได้ที่มูลนิธิพิสูจน์ธรรม ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
สำหรับท่านที่อยู่ต่างจังหวัดหรือไม่สะดวกมาที่มูลนิธิ สามารถโทรมาสั่งซื้อได้ที่ี่

โทร. 02-961-7318 แฟกซ์ 02-961-7316

มูลนิธิพิสูจน์ธรรม
21 หมู่ 2 ถนนหมายเลข 345
ตำบลลำโพ อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี 11110


รายละเอียดเพิ่มเติม www.siripong.net