Wednesday, December 26, 2007
Tuesday, December 11, 2007
ทำบุญโรงพยาบาล ๕๐ พรรษา มหาวชิราลงกรณ
ปัญหาเรื้อรังตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ก็คือ พระสงฆ์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นพระสงฆ์ส่วนใหญ่ในประเทศ ต่างประสบความเดือดร้อนในเรื่องต่างๆ ดังกล่าวเป็นอย่างมากเพราะฉะนั้น พระสงฆ์และประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงต้องการให้มี "โรงพยาบาลสงฆ์" ขึ้น ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อขจัดขั้นตอนปัญหาต่างๆ ในการบำบัดอาพาธของพระสงฆ์ และเพื่อแบ่งเบาภาระของโรงพยาบาลท้องถิ่น ในการบำบัดโรคภัยไข้เจ็บ ของประชาชนในชนบทด้วย แต่ความต้องการในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนดังกล่าว ยังมิได้รับการสนองตอบจากรัฐบาล เนื่องจากภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจดังเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว
ด้วยเหตุนี้ คณะสงฆ์และประชาชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงเห็นควรรณรงค์ประชาชนร่วมกันบริจาคต้นทุนก่อสร้างตามกำลัง ก่อนที่จะได้รับความสนับสนุนจากรัฐบาล สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงทราบถึงปัญหาและทรงตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องนี้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับโครงการสร้างโรงพยาบาลนี้ เป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติ ในมหามงคลเฉลิมพระชนม์ ๕๐ พรรษา ในปี ๒๕๔๕ พร้อมพระราชทานนามโรงพยาบาลนี้ว่า “โรงพยาบาล ๕๐ พรรษา มหาวชิราลงกรณ” และได้เสด็จฯ พร้อมด้วยพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ไปทรงวางศิลาฤกษ์ โรงพยาบาลแห่งนี้ ที่บ้านปลาดุก อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๔๕ ขณะนี้คณะกรรมการฯกำลังดำเนินโครงการตามขั้นตอนและยังขาดงบประมาณในการนี้อยู่เป็นจำนวนมาก
ท่านสาธุชนทั้งหลาย การสร้าง “โรงพยาบาล ๕๐ พรรษา มหาวชิราลงกรณ” เพื่อพระสงฆ์และประชาชนในชนบทด้วยนั้น เป็นบุญเป็นกุศลอย่างยิ่ง และมีอานิสงส์ทำให้ผู้บำเพ็ญ ปลอดโรคภัย ทำให้มีอายุมั่นขวัญยืน สมบูรณ์ด้วยพลานามัย และมีความสุขกายสบายใจ
จึงขอเชิญบำเพ็ญมหากุศลครั้งนี้โดยทั่วกัน
1. บริจาคมูลนิธิโรงพยาบาล ๕๐ พรรษา มหาวชิราลงกรณโดยตรงที่ | ||||||||
| ||||||||
............................................................................................................................................................... | ||||||||
2. โอนเข้าบัญชีธนาคาร ประเภทออมทรัพย์ | ||||||||
|
รายละเอียดเพิ่มเติมที่ http://www.50amfh.org/
Thursday, November 15, 2007
บัญชีกองทุนต่างๆ ของวัดถ้ำขวัญเมือง
บัญชีสังฆทาน(ค่าน้ำ ค่าไฟ และปัจจัย4)
ชื่อบัญชี วัดถ้ำขวัญเมือง
ธนาคารกรุงเทพ สาขาสวี
ปะเภทบัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 446-0-15786-2
กองงทุนกรรมฐาน
ชื่อบัญชี วัดถ้ำขวัญเมือง
ธนาคารกรุงเทพ สาขาสวี
ปะเภทบัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 446-0-32606-1
กองทุนบูรณะพระเจดีย์และอุโบสถ
ชื่อบัญชี วัดถ้ำขวัญเมือง
ธนาคารกรุงเทพ สาขาสวี
ปะเภทบัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 446-0-20046-4
สงฆ์อาพาธ
ชื่อบัญชี วัดถ้ำขวัญเมือง
ธนาคารกรุงเทพ สาขาสวี
ปะเภทบัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 446-0-24464-5
เทปธรรมะ
ชื่อบัญชี วัดถ้ำขวัญเมือง
ธนาคารกรุงเทพ สาขาสวี
ปะเภทบัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 446-0-22441-5
กองทุนการศึกษาหลวงพ่อสรวง
ชื่อบัญชี วัดถ้ำขวัญเมือง
ธนาคารกรุงเทพ สาขาสวี
ปะเภทบัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 446-0-29493-9
อาคารสังฆภัตตาหาร
ชื่อบัญชี วัดถ้ำขวัญเมือง
ธนาคารกรุงเทพ สาขาสวี
ปะเภทบัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 446-0-31042-0
ที่ดิน
ชื่อบัญชี วัดถ้ำขวัญเมือง
ธนาคารกรุงเทพ สาขาสวี
ปะเภทบัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 446-0-22633-7
กองทุนน้ำมันรถ
ชื่อบัญชี วัดถ้ำขวัญเมือง
ธนาคารกรุงเทพ สาขาสวี
ปะเภทบัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 446-0-37514-2
กองทุนกิจกรรมวัดถ้ำขวัญเมือง
ชื่อบัญชี วัดถ้ำขวัญเมือง
ธนาคารกรุงเทพ สาขาสวี
ปะเภทบัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 446-0-37514-2
มูลนิธิขวัญเมืองเรืองรอง
ชื่อบัญชี วัดถ้ำขวัญเมือง
ธนาคารกรุงเทพ สาขาสวี
ปะเภทบัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 446-0-32505-5
หมายเหตุ : เมื่อโอนปัจจัยเรียบร้อยแล้ว กรุณาแฟกซ์หลักฐานการโอนมาที่เบอร์
แฟกซ์อัตโนมัติ 077-532-112, 077-531-100, 077-532-100
หรือ แม่ชีสุปริญญา (เชอรี่) มือถือ 081-373-0780
กรุณาแจ้งชื่อ และที่อยู่ของท่าน มาพร้อมแฟกซ์หลักฐานการโอนปัจจัย เพื่อใช้ในการจัดส่งใบอนุโมทนาบัตร กลับไปยังท่านได้อย่างถูกต้อง
Saturday, November 3, 2007
Friday, October 12, 2007
ระวังสังฆทานให้บาป
จากที่ได้ศึกษาธรรมะจากพระไตรปิฎก และได้พบธรรมะเรื่องหนึ่งในพระสูตร มีใจความว่า ในสมัยพุทธกาล มีอุบาสกคนหนึ่งอยากจะทำบุญกับพระอรหันต์ แต่ไม่สามารถรู้ว่าพระองค์ไหนเป็นพระอรหันต์จึงเกิดความสงสัย จึงเข้าไปหาพระพุทธเจ้าเพื่อสอบถาม พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่อุบาสกผู้นั้นว่า “การที่เราจะรู้ว่าพระองค์ไหนเป็น พระอรหันต์นั้น เราจะต้องอยู่ใกล้ชิดท่าน และก็ฟังธรรมะจากท่านบ่อยๆ เราก็จะสามารถรู้ได้ แต่ถ้าเราไม่มีเวลาใกล้ชิด และไม่มีเวลาฟังธรรม แต่อยากทำบุญแล้วให้ได้ผลบุญมากเทียบเท่ากับพระอรหันต์ ถ้าอย่างนั้นต้องไปทำ สังฆทาน “
การทำบุญสังฆทาน
ในปัจจุบันนี้ การทำบุญสังฆทาน ชาวพุทธเข้าใจผิดมานานกว่า 20 ปี โดยนำของใส่ถังแล้วไปถวายพระ 1 รูปบ้าง, 2 รูปบ้าง ซึ่งถือว่าเป็นการทำบุญสังฆทานที่ผิด ได้บุญต่ำ บางครั้งแทบจะไม่ได้บุญเลย และแถมยังได้บาปอีกด้วย ถ้าเราถวายเงินแล้วพระรับกับมือหรือครอบครองเงินนั้นไว้กับตัวเพราะเราไปทำให้พระต้องอาบัดผิดศีล ถ้ายิ่งไปถวายสังฆทานตอนหลังเที่ยงยิ่งบาปหนักเข้าไปอีก
เพราะฉะนั้น การทำบุญสังฆทานที่แท้จริง คือ การทำบุญสูงสุดด้านอาหาร
โดยมีวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องดังนี้
1. ต้องเป็นอาหารที่พระฉันได้ในเวลานั้น และต้องถวายก่อนเที่ยง ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับ การที่เราถวายภัตตาหารเพลพระนั่นเอง (ส่วนของที่เป็นถังๆ หรือของอย่างอื่น เป็นได้แค่เพียงบริวารสังฆทานเท่านั้น)
2. ต้องกล่าวคำถวายสังฆทาน ดังนี้
อิมานิ มะยัง ภันเต ภัตตานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุ โณ ภันเตภิกขุสังโฆ อิมานิ ภัตตานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะฯ (ในหัตถบาสใช้ อิมานิ นอกหัตถบาสใช้ เอตานิ )
หมายเหตุ ในคำกล่าวถวายนั้น ถ้าไม่มีคำว่า ภิกขุสังฆัสสะ ถือว่าการถวายนั้นไม่ไช่ การถวายสังฆทาน
3.พระตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไปจึงจะรับสังฆทานได้ (พระ 4 รูป เรียกว่า ครบสงฆ์) เพราะคำว่าสังฆทานนั้นแปลว่า เป็นทานที่ถวายแด่สงฆ์ เป็นบุญสูงสุดด้านอาหาร ฉะนั้นพระ 1 รูป, 2 รูป, 3 รูป ไม่สามารถรับสังฆทานได้ เป็นบาป และถือว่าหลอกลวง เพราะไม่ไช่สงฆ์ เป็นแค่เพียงบุคคลเท่านั้น ต่อเมื่อพระครบ 4 รูปจึงถือว่าเป็นสงฆ์ เว้นเสียแต่เป็นพระอรหันต์ 1 องค์ ก็สามารถรับสังฆทานได้ เพราะพระอรหันต์ 1 องค์ถือว่าเป็นสงฆ์ ซึ่งชาวพุทธทั่วไปยังไม่เข้าใจว่า พระสงฆ์ แตกต่างจาก สมมุติสงฆ์ อย่างไร และทำไมถึงเรียกว่า 1รูปบ้าง 1องค์บ้าง ขอให้ไปดูในรายละเอียด เรื่องไฟนรก 7 กอง เพื่อความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
4.จะต้องทำการ อปโลกน์สังฆทาน หลังจากที่พระรับสังฆทานแล้ว พระรูปที่ 2 จะต้องทำการ อปโลกน์ (คือ ประชุมสงฆ์ เพื่อทำการแบ่งปันอาหารที่ได้รับถวายมา ตามลำดับจนถึงให้ญาติโยม) แต่ถ้าพระไม่ทำการอปโลกน์ อาหารทุกชิ้นถือเป็นของสงฆ์ทั้งสิ้น ญาติโยมจะไปกินไม่ได้เด็ดขาด ถึงแม้พระบางรูปจะบอกยกให้ก็ตาม ก็กินไม่ได้เพราะถือว่าเป็นบุคคลให้ ไม่ใช่สงฆ์ให้ แม้แต่พระที่เป็นผู้รับสังฆทานเองกับมือก็จะฉันท์ไม่ได้ ถ้าผู้ใดก็ตามขืนไปกินเข้า เมื่อตายไปจะต้องเกิดเป็นเปรตประมาณ 92 กัลป์ (1 กัลป์ คือ 6,420 ล้านปี) แม้แต่สุนัขไปกิน มด แมลงไปกิน ก็ต้องเป็นเปรตเหมือนกัน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก ของชาวพุทธที่ไม่รู้ธรรมะ
คำอปโลกน์สังฆทาน
ยัคเฆ ภันเต สังโฆ ชานาตุ อะยัง ปะฐะมะภาโค มหาเถรัสสะ ปาปุณาติ อะวะเสสา ภาคา อัมหากัง ปาปุณันติ
นี่เพียงแค่เรื่องการทำบุญสังฆทานอย่างเดียว เชื่อว่าชาวพุทธส่วนใหญ่คงยังไม่ทราบ และยังมีอีกเป็นร้อยเรื่องที่ชาวพุทธยังไม่รู้
ญาติของพระเจ้าพิมพิสารกินของสงฆ์ตายไปเป็นเปรต 92 กัลป์
นับถอยหลังจากนี้ไป 92 กัลป์ ในสมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่าพระมหาปุสสะ ได้มีพระราชโอรส 3 พระองค์ พระโอรสทั้งสามได้รับพรจากพระราชบิดาให้มีโอกาสได้ถวายภัตตาหารแด่พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 3 เดือนโดยแบ่งกันคนละเดือน และพระโอรสทั้ง 3 มีสมุห์บัญชี มีขุนคลัง เป็นคนเดียวกัน ซึ่งคนทั้งสองได้รับคำสั่งจากพระโอรสทั้งสาม ให้ดูแลเรื่องการจัดเตรียมอาหารถวายแด่สงฆ์ซึ่งเป็นสังฆทาน ท่านสมุห์บัญชีจึงได้ตามญาติของตัวเองสามคน มาช่วยเป็นคนงานจัดเตรียมอาหารถวายพระ แต่คนงานทั้ง 3 นั้น ได้มีความประมาทและไม่รู้ธรรมะ เมื่อเห็นอาหารที่ตนชอบใจก็ไม่สามารถที่จะอดกลั้นได้ และได้หยิบอาหารที่ถวายแด่สงฆ์กินเป็นประจำ และเมื่อตายไปจึงเกิดเป็นเปรตท่องเที่ยวอยู่ในโลกเปรต ส่วนสมุห์บัญชีของพระโอรสทั้ง 3 นั้น ได้เกิดในการนี้เป็นพระเจ้าพิมพิสาร ส่วนขุนคลังได้เป็นวิสาขอุบาสก ส่วนพระราชโอรสได้เกิดเป็นชฎิล 3 พี่น้อง ส่วนเปรตทั้ง 3 ก็ได้ท่องเที่ยวไปในเปรตโลก จนสิ้น 4 พุทธันดร
พวกเปรตถามเวลาได้อาหารกับพระพุทธเจ้า 3 พระองค์
เปรตเหล่านั้นได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพระนามว่า กกุสันธะ ผู้ทรงพระชนมายุได้สี่หมื่นปี เสด็จอุบัติขึ้นก่อนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในกัลป์นี้ เปรตเหล่านั้นได้ทูลว่า “ขอพระองค์โปรดบอกเวลาที่จะได้อาหารแก่พวกข้าพเจ้าทั้งหลายด้วยเทอญ” พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “พวกท่านจะยังไม่ได้ในกาลของเรา แต่ภายหลังแห่งเรา เมื่อมหาปฐพีงอกสูงขึ้นประมาณได้ 1 โยชน์ พระพุทธเจ้าพระนามว่า โกนาคม จะอุบัติขึ้น ขอให้พวกเจ้าพึงทูลถามพระองค์เถิด”
เปรตเหล่านั้นยังกาลเวลาให้สิ้นไปแล้ว และเมื่อพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โกนาคม ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว จึงได้พากันไปทูลถามพระองค์ พระองค์ได้ตรัสว่า “พวกท่านจะยังไม่ได้ในกาลของเรา แต่ภายหลังแห่งเรา เมื่อมหาปฐพีงอกสูงขึ้นประมาณได้ 1 โยชน์ พระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะจะอุบัติขึ้น พวกเจ้าพึงทูลถามพระองค์เถิด”
เปรตเหล่านั้นยังกาลเวลาให้สิ้นไปแล้ว และเมื่อพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว จึงได้พากันไปทูลถามพระองค์ พระองค์ได้ตรัสว่า “พวกท่านจะยังไม่ได้ในกาลของเรา แต่ภายหลังแห่งเรา เมื่อมหาปฐพีงอกสูงขึ้นประมาณได้ 1 โยชน์ พระพุทธเจ้าพระนามว่า โคดม จะอุบัติขึ้น และในกาลนั้นญาติของพวกเจ้าจะได้เป็นพระราชา พระนามว่า พิมพิสาร และพระเจ้าพิมพิสารนั้นจะถวายทานแด่พระศาสดาแล้ว จะอุทิศส่วนกุศลให้แก่พวกเจ้า พวกเจ้าจะได้อาหารในคราวนั้น”
เมื่อพวกเปรตเหล่านั้นได้ฟังคำที่พระพุทธเจ้า กัสสปะตรัสแล้ว ได้ดีใจปานประหนึ่งว่า 1 พุทธันดร เหมือนกับว่าเป็นวันพรุ่งนี้
พวกเปรตพ้นทุกข์เพราะผลทาน
เมื่อพระพุทธเจ้าโคดมของเราเสด็จอุบัติขึ้นแล้ว และเมื่อพระเจ้าพิมพิสารได้ถวายทานในวันแรก แต่พระองค์ลืมกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล ทำให้เปรตเหล่านั้นได้พบกับความผิดหวังอย่างมาก ตกเวลากลางคืนจึงได้พากันไปร้องโหยหวนที่พระราชวังของพระเจ้าพิมพิสาร จนทำให้พระราชาเกิดความรู้สึกกลัว และรุ่งขึ้นพระราชาได้เสด็จไปหาพระพุทธเจ้าที่เวฬุวันมหาวิหาร และได้กราบทูลแก่พระพุทธเจ้าถึงเรื่องเสียงร้องที่น่ากลัว พระศาสดาได้ตรัสว่า “มหาบพิตร ถอยหลังจากนี้ไป 92 กัลป์ ซึ่งเป็นในสมัยแห่งพระพุทธเจ้า พระนามว่า ปุสสะ พวกเปรตเหล่านั้นได้เป็นพระญาติของพระองค์ และได้กินอาหารที่เขาถวายแด่สงฆ์ เมื่อตายแล้วได้เกิดในเปรตโลก ท่องเที่ยวอยู่ และได้ทูลถามพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ที่เสด็จอุบัติขึ้น มีพระพุทธเจ้า กกุสันธะ เป็นอาทิ อันพระพุทธเจ้าเหล่านั้น ได้ตรัสบอกกับเปรตทั้งหลาย และเปรตทั้งหลายได้หวังในทานของพระองค์มาโดยตลอด 92 กัลป์ และเมื่อวานนี้ พระองค์ถวายทานแล้วไม่ได้อุทิศส่วนกุศล จึงทำให้พวกเปรตได้รับความผิดหวัง และได้ร้องโหยหวน ดั่งที่พระองค์ได้ยิน ” พระราชาทูลถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าหม่อมฉันถวายทานแม้ในบัดนี้ เปรตเหล่านั้นจะได้รับหรือไม่” พระศาสดาตรัสว่า “ได้รับ มหาบพิตร” พระราชาทรงนิมนต์ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข และได้ถวายมหาทานในวันรุ่งขึ้นแล้ว ได้พระราชทานส่วนบุญว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอข้าวน้ำอันเป็นทิพย์ จงสำเร็จแก่พวกเปรตเหล่านั้น ด้วยมหาทานนี้” และข้าวน้ำอันเป็นทิพย์ได้เกิดแก่เปรตเหล่านั้นทันที และในวันรุ่งขึ้น เปรตเหล่านั้นได้เปลือยกายแสดงตนแก่พระราชา พระราชาทูลถามแก่พระพุทธเจ้าว่า “วันนี้พวกเปรตได้เปลือยกายแสดงตนแก่ข้าพเจ้า” พระศาสดาตรัสว่า “มหาบพิตร พระองค์มิได้ถวายผ้า”
และในวันรุ่งขึ้น พระราชาได้ถวายผ้าจีวรทั้งหลายแก่ภิกษุสงฆ์ โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขแล้ว ทรงพระราชทานส่วนบุญว่า “ขอผ้าอันเป็นทิพย์ทั้งหลาย จงสำเร็จแก่เปรตนั้น ด้วยจีวรทานนี้ด้วยเถิด” ในขณะนั้นเอง ผ้าทิพย์ได้เกิดแก่เปรตเหล่านั้นแล้ว เปรตเหล่านั้นได้พ้นจากอัตภาพของเปรต และได้ดำรงอยู่โดยอัตภาพอันเป็นทิพย์ พระศาสดาได้ทรงทำอนุโมทนา และในครั้งนั้นการบรรลุธรรมได้เกิดแก่สัตว์ 84,000 แล้วดังนี้
ภิกษุผู้ไม่รู้ในธรรมะ
บริเวณเจติยบรรพต มีวิหารอันเป็นที่อยู่แห่งพระภิกษุในพระพุทธศาสนาแห่งหนึ่ง ปรากฏว่ามีพระภิกษุทั้งหลายจำพรรษาอยู่เป็นจำนวนมาก พุทธบริษัททั้งปวงมีความเป็นห่วงพระสงฆ์ต่างพากันนำเอาสิ่งของเครื่องใช้มียา และข้าวสารมาถวายไว้เป็นสังฆทานคือ การถวายเป็นของสงฆ์มากมายทุกๆปี พระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งเป็นผู้ที่ไม่รู้ธรรมะมากนัก ซึ่งเดินทางมาจากชนบทได้เข้าไปจำพรรษาอยู่ร่วมกับพระภิกษุทั้งหลายในพรรษาเวลาล่วงไปปีหนึ่ง
ครั้นออกพรรษาปวารณาแล้ว ท่านตั้งใจจะเดินทางไปเยี่ยมโยมบิดาที่บ้านเกิดเมืองนอน ก่อนที่จะไป ท่านคิดจะได้ของฝากบิดา จึงเอาผ้าห่อข้าวสารซึ่งเขาถวายไว้เป็นของสงฆ์เป็นจำนวนครึ่งทะนาน แล้วก็ออกเดินทางไป ด้วยความกระหยิ่มใจอยู่ตลอดทางว่า เมื่อบิดาได้รับของฝากเป็นข้าวสารครึ่งทะนานที่ตนเองนำไปให้ คงจักดีใจเป็นนักหนา เพราะบิดากำลังประสบความลำบากยากจน โดยหารู้ไม่เลยว่าตนกำลังทำบาปโดยไม่รู้ตัว ทั้งนี้เพราะข้าวสารครึ่งทะนานนั้นเป็นพระสงฆ์ หาใช่เป็นของตนไม่ แม้ตนจะดำรงเพศเป็นพระภิกษุจำพรรษาในวิหารก็ตามที
เป็นที่น่าสังเวชใจนักด้วยว่า เมื่อพระภิกษุหนุ่มผู้มีความกตัญญูรู้คุณบิดารูปนั้นเดินทางมาได้ครึ่งทางก็ค่ำมืด เธอจึงแวะเข้าไปในวิหารใกล้ทางแล้วขอพักค้างคืน ตั้งใจว่ารุ่งเช้าจึงจะเดินทางต่อไป แต่ว่าความตายเป็นสิ่งโหดร้าย ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ว่าความตายจักเข้ามาทำร้ายล้างผลาญชีวิตในขณะใด ดูแต่ภิกษุผู้อุตส่าห์นำเอาข้าวสารมา ตั้งใจว่าจักเอาไปให้บิดานี้เถิด แม้แต่ตัวท่านเองก็นึกไม่ถึงว่าตนจักต้องมาอายุสั้น แต่ท่านก็ต้องพลันตายลงไปในคืนนั้นเอง สาเหตุที่มรณะก็คือโรคลมปัจจุบัน
ในคราวที่ท่านมรณะนั้น กรรมที่เกิดจากการที่ท่าน ได้นำเอาข้าวสารกึ่งทะนานอันเป็นของสงฆ์ในเจติยบรรพตวิหาร โดยหวังว่าจะเอาไปฝากบิดาผู้ยากจน แต่ว่ายังไปไม่ถึงมือของบิดาตามที่ตั้งใจไว้นั่น ก็พลันต้องมาตายเสียก่อน จึงต้องไปเกิดในเปตติวิสัยภูมิ เป็นเปรตมีรูปร่างแสนทุเรศสูงชะลูด มีสภาวะน่าสะพรึงกลัวและน่าเกลียดน่าชัง มีกลิ่นเหม็นสาบเหม็นสาง ผอมโซเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกมีไฟลุกแดงไหม้ร่างกายอยู่ แต่ร่างกายจะได้แตกพังทลายไปก็หามิได้เที่ยวเดินโงนเงนโซซัดโซเซ อยู่ระหว่างภูเขาเจติยบรรพตนั้น ด้วยความเศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้ง
จึงนับว่าเป็นความคิดผิดอย่างถนัด ในการที่เธอมีความประมาทหลงดีใจว่าได้ของไปฝากบิดา หารู้ไม่ว่าเป็นบาปกรรมซึ่งสามารถชักนำให้ตนมาบังเกิดเป็นเปรต ได้เสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส
ดั่งที่ได้ยกตัวอย่างกรรมของบุคคลที่มีความประมาท ซึ่งไม่รู้ในธรรมะที่สำคัญ จากพระสูตรที่อยู่ในพระไตรปิฎกมาเล่าให้ทุกท่านได้ฟังนั้น ก็เพื่อให้ทุกท่านได้เห็นถึงความสำคัญ และได้ตระหนักว่า ความไม่รู้นั้นเป็นความโหดร้ายอย่างมาก และเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ที่ไม่รู้ จะต้องได้รับความทุกทรมานอย่างแสนสาหัสอย่างที่ตนคาดไม่ถึงมาก่อน
คิดในใจด้วยความเมตตา
ซึ่งผมได้มองไปที่สังคมของชาวพุทธเรา และได้เห็นถึงความเสื่อมของคนในสังคม ซึ่งไม่รู้จักศีลรู้จักธรรมอะไรเลย จึงคิดในใจด้วยความเมตตาว่า “ถ้าเขาเกิดมาเป็นชาวพุทธ แล้วไม่รู้ธรรมะอะไรเลย สู้เขาไปเกิดในศาสนาอื่นจะดีกว่า เพราะจะได้รับบาปน้อยกว่า” หลายท่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมผมถึงคิดแบบนี้ เกิดในศาสนาพุทธแล้วมันเป็นอย่างไร และทำไมศาสนาอื่นจึงบาปน้อยกว่า ก็จะต้องขออธิบายดังนี้ว่า ศาสนาอื่นนั้นเมื่อทำบาปก็จะได้รับกรรมน้อยกว่า เพราะนักบวชในศาสนาอื่นนั้น ศีลอย่างมากก็จะไม่เกินศีล 8 เมื่อมีการกระทำบาปเกิดขึ้นผลบาปที่จะต้องได้รับก็ประมาณ10,000 เท่าหรือ 100,000 เท่า ซึ่งเป็นไปตามกำลังของผู้ที่มีศีลนั่นเอง ซึ่งถ้าไปทำบุญกับนักบวชในศาสนาอื่น ก็จะได้บุญไม่มากเท่ากับทำบุญในศาสนาพุทธอย่างแน่นอน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับศีลของนักบวชอีกเช่นกัน
แต่เมื่อเกิดในศาสนาพุทธ แล้วไม่รู้ธรรมะอะไรเลย โอกาสที่จะได้รับบาปหนักนั้นมีมากเหลือเกิน ซึ่งผมจะขอยกตัวอย่างดังนี้
เกาะชายผ้าเหลืองลูกลงนรก
พ่อแม่หลายคน ไม่รู้จักธรรมะ และไม่เคยศึกษาธรรมะใดๆทั้งสิ้น แต่เมื่อมาเกิดในศาสนาพุทธก็จะต้องมีประเพณีบวชลูก และพ่อแม่ก็มีความคิดว่า เมื่อลูกบวชตัวเองก็จะได้บุญ เปรียบเสมือนเกาะชายผ้าเหลืองลูกขึ้นสวรรค์ ซึ่งเป็นคำพูดที่ได้ยินกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ แต่ในความเป็นจริงแล้วลูกไม่เคยศึกษาธรรมะเลย ทั้งพระธรรมวินัย และสิกขาบท 227ข้อก็ยังไม่ได้ศึกษาอย่างลึกซึ้ง เน้นแต่เพียงท่องขานนาคให้ได้เป็นใช้ได้ ที่เหลือเมื่อบวชเข้าไปแล้วก็ให้พระที่บวชก่อนสอนกันเองก็แล้วกัน ซึ่งพ่อแม่จะมั่นใจได้อย่างไรว่าพระบวชก่อนจะรู้ธรรมะอย่างลึกซึ้งละเอียดละออ เมื่อบวชแล้วจึงทำให้ ดูหนัง ฟังเพลง ฉันอาหารหลังเที่ยง เด็ดใบไม้ รับเงินจากชาวบ้าน และฉันของสงฆ์วันแล้ววันเล่าโดยไม่รู้ตัว ซึ่งล้วนแต่ผิดศีลเป็นบาปทั้งสิ้น และบาปของพระนั้นมากกว่าคนธรรมดาหลายล้านเท่านัก จึงกลายเป็นว่า พ่อแม่ได้ผลักลูกลงนรกอย่างไม่รู้ตัว และเมื่อเห็นจีวรลูกไหวๆอยู่ จึงรีบคว้าไว้แล้วก็ตามลูกลงนรกโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัวเลย
กินของสงฆ์เพราะไม่รู้ธรรมะและไม่มีใครบอก
และเมื่อท่านอยู่ในศาสนาพุทธ ท่านก็จะมีโอกาสที่จะได้กินของสงฆ์หลังจากที่ท่านได้ถวายสังฆทานอย่างถูกต้อง เพราะมีพระตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไปเป็นองค์รับสังฆทาน แต่ปรากฏว่าท่านโชคร้าย เพราะท่านไปนิมนต์พระที่ไม่รู้ธรรมะมารับสังฆทาน จึงไม่มีการ อปโลกน์สังฆทาน เพราะฉะนั้นของที่ถวายทั้งหมดจึงเป็นของสงฆ์ อย่าว่าแต่คนธรรมดาไปกินเลย แม้กระทั้งพระที่เป็นคนรับสังฆทานเองกับมือ ไปกินเข้าก็จะต้อง ตายแล้วเกิดเป็นเปรตทั้งสิ้น ซึ่งผมถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายมากสำหรับชาวพุทธที่ไม่รู้ธรรมะ แต่ถ้าท่านอยู่ในศาสนาอื่นโอกาสที่จะกินของสงฆ์ก็แทบที่จะไม่มี หรืออาจจะไม่มีเลยก็เป็นได้
แต่ถ้าท่าน เกิดเป็นพุทธ และยังเป็นผู้ที่รู้ธรรมะอีกด้วย ท่านก็จะเป็นผู้ที่มีวาสนามาก ได้รู้วิธีทำบุญ ตั้งแต่บุญขั้นต่ำ บุญขั้นกลาง และบุญขั้นสูง และก็ยังรู้อีกว่าอะไรเป็นบุญ อะไรเป็นบาป อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ และการที่ได้รู้ธรรมะนี้ ยังทำให้ท่านได้พบกับความสุขความเจริญ ทั้งในชาตินี้ และในชาติต่อๆไปอีกด้วย
ที่มา หนังสือความสำเร็จที่มาจากพระพุทธเจ้า อ.ศิริพงษ์ อัครศรียุกต์
Friday, October 5, 2007
มาร่วมทำบุญกับโครงการแว่นแก้ว
รายละเอียดเพิ่มเติมที่ http://pr.egat.co.th/eyeglasses/images/eyeglasses.html
สถานที่รับบริจาค
หลายวิธีที่คุณสามารถหยิบยื่นแสงสว่างแก่พวกเขา
คุณสามารถหยิบน้ำใจแก่พวกเขาผ่านทางวิธีใดก็ได้ที่สะดวกดังต่อไปนี้
• บริจาคเงิน 180 บาท สำหรับเลนส์ 1 คู่
• บริจาคเงิน 250 บาท สำหรับเลนส์พร้อมแว่นตา
• บริจาคเงินตามศรัทธา
• บริจาคแว่นตาหรือเลนส์ที่ไม่ใช้แล้ว
โดยบริจาคได้ที่กล่องรับบริจาคของ “โครงการแว่นแก้ว” ที่
ตัวแทนยูบีซีทั่วประเทศ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ทุกสาขา ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ
ทุกแห่ง และสำนักงาน กฟผ. ทั่วประเทศ
• โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารใดธนาคารหนึ่งดังต่อไปนี้
1. ฝาก ณ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาย่อย กฟผ.
บางกรวย เลขที่ 143-1-09768-3
2. ฝาก ณ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาบางกรวย
เลขที่ 208-0-48188-6
3. ฝาก ณ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาบางกรวย
เลขที่ 277-2-33365-2
4. ฝาก ณ ธนาคารไทยพานิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาย่อย กฟผ.
บางกรวย เลขที่ 118-2-05944-2
และขอความกรุณาส่งใบโอนเงินมายังหมายเลขโทรสาร
0-2436-4894
• สั่งจ่ายเช็คในนาม “โครงการแว่นแก้ว”
แค่น้ำใจเล็กน้อย…คุณก็ให้แสงสว่างแก่ชีวิตผู้ยากไร้และด้อยโอกาสได้แล้ว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
• ธนาคารแว่นตา โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง)
52 หมู่ 2 ต.ไร่ขิง อ.สามพราน จ.นครปฐม 73210
โทร. (034) 325-456-69, 321-983 ต่อ 2101-2
E-mail : glassbank@hotmail.com
• การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 53 หมู่ 2
ถ.จรัญสนิทวงศ์ อ.บางกรวย นนทบุรี 11130
โทร. 0 2436 0000 กด 6
E-mail : wankaew@egat.or.th www.egat.or.th
• กลุ่มบริษัทยูบีซี 118/1 อาคารทิปโก้ ถ.พระราม 6
แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400
โทร. 0 2615 9559 โทรสาร 0 2615 9119
www.ubctv.com
ขออนุโมทนาบุญครั้งนี้ด้วย
Wednesday, October 3, 2007
บทลงโทษด้วยความรัก
วันหนึ่งเมื่อยังเด็ก
แอนดี้น้องชายของฉันนั่งอยู่ที่มุมห้องนั่งเล่น
ในมือข้างหนึ่งมีปากกาหนึ่งด้าม
ขณะที่ในมืออีกข้างหนึ่งก็ถือหนังสือสะสมราคา แพงของพ่อ
แอนดี้คงจะปีนขึ้นไปหยิบจากบนชั้นหนังสือ
แอนดี้ก็ก้มหน้างุดและทำท่ากระสับกระส่าย
เขารู้ตัวดีเชียวละว่ากำลังทำผิด
แม้จากระยะไกล
ฉันก็เห็นรอยขีดเขียนเปรอะไปทั่วบนหน้าหนังสือของพ่อ
และตอนนี้แอนดี้ก็กำลังจ้องมองพ่อตาโตด้วยความ
หวาดหวั่นรอคอยที่จะถูกทำโทษ
แล้วก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้โดยไม่พูดอะไรสักคำ
หนังสือทุกเล่มมีความหมายต่อพ่อมาก
หนังสือคือความรู้
และหนังสือเล่มนี้ก็เป็นหนังสือสะสมราคาแพง
แต่ในขณะเดียวกันท่านก็เป็นพ่อที่รักลูกมาก
แทนที่ท่านจะลงโทษหรือดุแอนดี้
หรือแม้แต่ตำหนิความซุกซน
พ่อกลับนั่งลง
หยิบปากกาในมือแอนดี้ขึ้นมาถือไว้
แล้วก็เขียนอะไรบางอย่างลงในหน้าหนังสือสะสมราคาแพงนั่นเสียเอง
พ่อเขียนที่ข้างๆ ลายเส้นที่แอนดี้ขีดว่า
"ภาษาของแอนดี้ เมื่ออายุสองขวบ"
ต่อไปนี้
ไม่ว่าครั้งไหนที่พ่อหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเปิด
พ่อก็จะเห็นใบหน้าน้อยๆ
ที่น่ารักและดวงตาที่สดใสของลูก
และจะขอบคุณพระเจ้าที่ประทานเด็กน้อยคนนี้
มาให้ขีดเขียนบนหนังสือแสนหวงของพ่อ
ลูกทำให้หนังสือเล่มนี้ของพ่อมีความหมาย
เหมือนกับที่พี่ๆของลูกนำความหมายมาสู่ชีวิตของพ่อ
เหมือนกัน
นานๆครั้งฉันก็จะหยิบหนังสือที่สะสมไว้มาให้ลูกหลานของฉันขีดเขียนเล่น
ทุกครั้งที่มองดูลายมือหยุกหยิกเหล่านั้น
ฉันก็จะนึกถึงสิ่งที่พ่อทำในวันนั้น
พ่อได้สอนให้ฉันรู้ว่า…
อะไรกันแน่ที่มีค่าต่อชีวิตของเราอย่างแท้จริง
ซึ่งนั่นก็คือ คนที่เรารัก ไม่ใช่วัตถุสิ่งของ
ลองมองย้อนดูตัวคุณเอง ในแต่ละวัน
เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้อยู่เสมอ
เช่นคุณนั่งกินข้าวกับภรรยาอยู่ที่ร้านอาหาร
เธอหวังดีอยากจะเทซอสให้คุณ
แต่มันกลับหกไปเลอะเสื้อตัวเก่งของคุณ
และคุณก็ทำสีหน้าที่ตำหนิเธอและคำพูดที่บอกว่า
เดี๋ยว ผมเทเองก็ได้
นอกจากคำขอโทษที่เธอพร่ำบอก
น้ำตาใสๆก็เริ่มเอ่อขึ้นในใจเช่นเดียวกัน
และอาหารมื้อนั้นไม่มีรสชาติสำหรับเธอเสียแล้ว
แต่ถ้าคุณบอกกับเธอว่า ถ้าซักไม่ออกก็ไม่เป็นไรหรอก
เมื่อผมหยิบเสื้อขึ้นมาใช้ครั้งใด
ผมจะหวนนึกถึงร้านอาหารนี้ทุกครั้งไป
ที่ได้มีโอกาสมาทานข้าวกับคุณ
และได้คิดถึงทุกครั้งว่าภรรยารักและเอาใจใส่ผมมาก
อยากปรนนิบัติเอาใจ (จนเทซอสหกใส่ผม)
แต่ว่าคราวหน้าออกมาทานข้าว
ผมจะเป็นคนเทซอสให้คุณมั้งล่ะ (ทีนี้ตาผมมั่ง)
รอยยิ้มจากหัวใจของเธอได้เริ่มโบยบินแล้ว
แค่นี้คุณก็ลงโทษเธอให้ระวังมากขึ้นแล้ว
สิ่งที่มีค่าต่อชีวิตคนเรานั้นไม่ใช่ นาฬิกาเรือนละแสน
หรือเนคไทเส้นละหลายๆพัน
แต่เป็นความอบอุ่นในหัวใจ
ที่คุณรู้ว่ามีใครคนหนึ่ง เฝ้ารัก
เฝ้าถนอมความรู้สึกคุณอยู่ตลอดเวลาต่างหาก
แล้วคุณล่ะ เคยลงโทษใครด้วยความรักหรือเปล่า
หากใครเคยอ่านแล้วก็ไม่เป็นไรนะ
หากครั้งนี้ลองอ่านดูอีกครั้งแล้วพินิจด้วยใจ
บางครั้ง....เราอาจเคยตั้งคำถามหนึ่งขึ้นในใจว่า
มนุษย์เรา ...เกิดมาเพื่ออะไร
บทความนี้อาจเป็นคำตอบที่ดีสำหรับคุณ...ก็เป็นได้
ขอมอบบทความนี้ให้กับผู้มีหัวใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความรัก ทุกท่าน
Sunday, September 23, 2007
บรรยากาศพิธีถวายสังฆทาน ที่สวนอัมพรมาฝากกัน...
Friday, August 10, 2007
พุทธวิธีคิดให้ คลายความเหงา ความเครียด ในยามอกหัก
"อกหักดีกว่ารักไม่เป็น" สุภาษิตยอดฮิตสำหรับคนที่ำพบกับความผิดหวังในความรัก
แต่ถ้าอกหักบ่อยๆ มันก็ไม่ไหวเหมือนกัน เำพราะมันช่างเจ็บช้ำระกำทรวง ยิ่งคนหนุ่มสาวยุคไอที
พบกันง่าย ชอบกันง่าย เบื่อกันง่าย จะทำอย่างไรกันดี บางคนอกหักวันละสามเวลาหลังอาหาร
เพราะเที่ยวรักคนนั้นคนนี้ไปทั่ว บางคนอกหักอย่างเบา ๆ เพราะรักเขาข้างเดียว
แต่บางคนอกหักอย่างช้ำชอก เพราะถูกคนรักทอดทิ้งไม่ใยดี บางคนรักกันมานานแต่
ภายหลังจำต้องเลิกรา เพราะไปด้วยกันไม่ได้ อันนี้็ก็้เจ็บตัวทั้งคู่ สรุปแล้วอกหักไม่ดีเลย
ดังนั้นบทความในวันนี้จึงขอเสนอเทคนิคทางใจ ยามประสบกับความผิดหวังในความรัก
เพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนหนุ่มสาวในยุคไอที ที่พบรักกันง่ายๆ บนออนไลน์ ด้วยความเร็วเท่าแสง
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าวิธีคิดทั้ง ๔ วิธีนี้ คงจะได้ช่วยรักษาใจ ให้ท่านมีกำลังใจ
เรียนรู้ชีวิตกันต่อไป จนกว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิตตามปรารถนาของทุกๆ คน
ต่อไปนี้ของเชิญติดตามได้เลย
๑. เข้าใจธรรมชาติของความรัก
ความรักแบบหนุ่่มสาว เป็นความรักที่มีรสหอมหวาน ใครๆก็ใคร่ปรารถนา
แต่ธรรมชาติของความรักแบบนี้ มันมาพร้อมกับพิษสงด้วย คือหากไม่สมปรารถนาเมื่อใด
มันก็จะแสดงความเจ็บปวดออกมาทันที เจ็บมาก เจ็บน้อย แล้วแต่ว่าเรายึดมั่นทุ่มเท
ในความรักแค่ไหน ยึดน้อยก็เจ็บน้อย ยึดมากก็เจ็บมาก ดังนั้นในยามใดอกหัก
ให้เราบอกกับตัวเองว่า นี่เป็นธรรมชาติของชีวิตมันแสดงอาการตามธรรมชาติของมันเอง
ถ้าเราไม่คิดฟุ้งซ่านกับมัน เดี๋ยวมันก็จะค่อยๆ ทุเลาเบาบางไปเอง
๒.มีความเมตตากรุณาต่อตัวเอง
เมื่อใดต้องพบกับความเจ็บปวดจากความผิดหวังในความรัก ให้คิดเมตตากรุณาต่อตัวเอง
ไม่คิดลงโทษตัวเอง หรือคิดทำร้ายจิตใจของตัวเองซ้ำเป็นดาบสองลงไปอีก แต่ให้มองไปที่
ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในจิตใจด้วยความกรุณา เหมือนกับว่าเรากำลังรู้สึกเมตตาสงสารใครสักคน
ปลอบใจตัวเองเหมือนกับที่เรากำลังปลอบเพื่อนด้วยความรักความเข้าใจ
ยกตัวอย่าง
"ทำใจสบายๆ นะ มันเจ็บไม่นานหรอก คราวหน้าเราจะระวังให้มากกว่านี้
ขอโทษทีนะเพื่อนนะ ที่ทำให้นายเจ็บ ฯลฯ"
คือมองที่ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นด้วยความเห็นใจว่านี่เป็นผลพวงที่เกิืดขึ้น
จากความรักแบบหนุ่มสาว (ดูข้อที่๑)
๓. มองโลกในแง่ดี
ให้คิดว่าตัวเองเป็นผู้ที่โชคดีที่สุดในโลก ดีแล้วที่อกหัก เพราะคนที่เรารักคนนี้
อาจจะไม่ใช่เนื้อคู่ของเราก็ได้ หรือให้คิดดีใจว่า อกหักคราวนี้ดีจัง
เพราะเราได้ความรู้ใหม่ๆ ที่เราสามารถนำมาปรับปรุงชีวิตของเราให้พัฒนา
ขึ้นไปได้อีกเยอะเลยทีเดียว เอ้.. อย่างนี้คงต้องขอบคุณคนที่หักอกเราแล้วสิ...
ไม่งั้นเราคงต้องเซ่อไำปอีกนาน หรือ คิืดว่า เออ..โชคเรายังดีนะ ที่ผิดหวังเสียก่อน ไม่อย่างนั้นถ้าหากถลาลึกลงไปมากกว่านี้เราก็คงจะเจ็บสาหัสกว่านี้เป็นแน่
การคิดในแง่ดีเช่นนี้ สารพัดที่จะคิดไปได้หลายรูปแบบ ใครที่คิดอย่างนี้ได้
ถือว่าเป็นคนฉลาดคิด เพราะสามารถเอาปัญหามาสร้างเป็นปัญญา
เอาความทุกข์มาแปรให้กลายเป็นความสุขที่เป็นกุศล มองโลกในแง่ดีมากๆ
เช่นนี้ทำให้มีสุขภาพจิตที่ดีตลอดชีวิต
๔.ฝันเพิ่งตื่น
สำหรับคู่รักที่รักกันมานาน หวานชื่นกันมาโดยตลอด
แต่ต่อมาภายหลังมีอันต้องพลัดพรากจากกัน เพราะไปด้วยกันไม่ได้ หรือ
ขัดแย้งไม่เข้าใจกัน หรือ อีกฝ่ายไม่ซื่อสัตย์ทำให้มีอันต้องแยกทางกัน หรือ
ถูกทอดทิ้งอย่างไม่ใยดี ปัญหาเหล่านี้ล้วนสร้างความทุกข์อย่างแสนสาหัส
ให้แก่จิตใจจนยากจะรับไว้ได้ ดังนั้น จึงมีบางคนถึงกับคิดสั้น
ทำลายชีวิตของตนเองไปเลยก็มี
ในกรณีนี้ หากใช้ ๓ วิธีข้างต้นดังที่แนะนำไปแล้ว ยังเอาไม่อยู่่ คือยังมีความร่าไรรำพัน
อาลัยอาวรณ์อยููเช่นเดิม ขอแนะนำให้ใช้วิธีคิดแบบ "ตัดใจ" อย่างเด็ดขาดไปเลย
นั่นคือ ทุกครั้งที่มีความคิดหวนอาลัยเกิดขึ้นเมื่อใด ให้บอกกับตัวเองทันทีว่า
วันชื่นคืนสุขเก่าๆ นั่นมันเป็นแค่เพียงเราฝันไป ตอนนี้เราตื่นขึ้นมาวันใหม่แล้ว
ไม่ต้องไปหวนอาลัยมันอีกต่อไป "ความฝันคือมายา ปัจจุบันคือความจริง"
ให้มีความร่าเริงในชีวิตใหม่ สำหรับความรับผิดชอบต่างๆ ที่ตามมา
บอกกับตัวเองไปเลยว่า "เราทำได้สบายมาก" การอยู่เดียวถ้าหากชีวิตมันดีงาม
มันมีความสุขมากขึ้น เราก็น่าจะดีใจ บางทีไม่แน่ ในอนาคตเราอาจจะพบกับคนดีที่
ไปด้วยกันกับเราได้ ก็อาจจะเป็นได้ เป็นต้น
ขอสรุปย้ำอีกครั้งว่า ทุกครั้งที่มีความคิดอาลัยวันวานยังหวานชื่น ให้เราต้องบอกกับตัวเอง
่ทันทีว่า "นั่นมันความฝันเมื่อคืนนี้ ตอนนี้เราตื่นแล้ว เบิกบานแล้ว ใจสว่างแล้ว"
ทำจิตใจให้ร่าเริง ได้เช่นนี้ เราก็ได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธรุ่นใหม่อย่างแท้จริง
ที่มา www.budpage.com
Tuesday, August 7, 2007
คำสมาทานศีลอุโบสถ
ขั้นตอนที่1 กราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ขั้นตอนที่2 บูชาพระรัตนตรัย
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา - พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ บริสุทธิ์หมดจด จากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย ได้ตรัสรู้ถูกถ้วนดีแล้ว
อิเมหิ สักกาเรหิ ตัง ภะคะวันตัง อะภิปูชะยามิ - ข้าพเจ้าบูชา ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ด้วยเครื่องสักการะเหล่านี้ (กราบ)
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม - พระธรรมคือศาสนา อันพระผู้มีพระภาคเจ้า แสดงไว้ดีแล้ว
อิเมหิ สักกาเรหิ ตัง ธัมมัง อะภิปูชะยามิ- ข้าพเจ้าบูชา ซึ่งพระธรรมเจ้านั้น ด้วยเครื่องสักการะเหล่านี้ (กราบ)
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ -หมู่พระสงฆ์ผู้เชื่อฟัง ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติดีแล้ว
อิเมหิ สักกาเรหิ ตัง สังฆัง อะภิปูชะยามิ - ข้าพเจ้าบูชา ซึ่งหมู่สงฆเจ้านั้น ด้วยเครื่องสักการะเหล่านี้ (กราบ)
ขั้นตอนที 3 อาราธนาศีลอุโบสถ
มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง อุโปสะถัง ยาจามะ
มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง อุโปสะถัง ยาจามะ
มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง อุโปสะถัง ยาจามะ
(กรณี ว่าคนเดียวให้เปลี่ยน มะยัง เป็น อะหัง ,ยาจามะ เป็น ยาจามิ)
ขั้นตอนที่ 4 นะโมสรรเสริญพระพุทธเจ้า (นั่งพับเพียบ)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ.
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ.
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ.
ขั้นตอนที่ 5 ไตรสรณคมณ์
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ.
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ.
ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.
ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ.
ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ.
ตติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.
ตติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ.
ตติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ.
ขั้นตอนที่ 6 สมาทานศีลอุโบสถ
ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
อะพรหมะจะริยา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
วิกาละโภชะนา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
นัจจะคีตะวาทิตะวิสุกะทัสสะนา มาลาคันธะวิเลปะนะทาระณะ
มัณฑะนะวิภูสะนัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
อุจจาสะยะนะมะหาสะยะนา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
ขั้นตอนที่ 7 อธิษฐานรักษาศีลอุโบสถ
(พระนำ) อิมัง อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง พุทธะปัญญัตตัง อุโปสะถัง อิมัญจะ รัตติง อิมัญจะ ทิวะสัง
สัมมะเทวะ อะภิรักขิตุง สะมาทิยามิ.
ข้าพเจ้าสมาทานอุโบสถที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ อันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ
ดังได้สมทานมาแล้วนี้ จะรักษาไว้ให้ดี ไม่ให้ขาด ไม่ให้ทำลาย วันหนึ่ง คืนหนึ่ง ณ เวลานี้
ขั้นตอนที่ 8 สรุปศีลอุโบสถ
อิมานิ อัฏฐะ สิกขาปะทานิ อัชเชกัง รัตตินทิวัง อุโปสะถะวะเสนะ สาธุกัง รักขิตัพพานิ.
(รับว่า... อามะภันเต) (รับว่า... สาธุ)
ขั้นตอนที่ 9 กราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ข้อห้าม ศีลข้อ 1,2,4,5 เหมือศีล 5 ทุกประการ
(เว้นจากการประพฤติผิดพรหมจรรย์) คือ ห้ามมีเพศสัมพันธ์ จับมือถือแขนได้ แต่ห้ามเล้่าโลม
กอดจูบศีลยังไม่ขาด แต่ศีลด่างพร้อย การสำเร็จความใคร่ให้ตัวเองก็ไม่ได้ เช่นกัน
ศีลข้อ 6 วิกาละโภชะนา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
(เว้นจากการรับประทานอาหารในเวลาวิกาล) คือหลังเที่ยงจนถึงรุ่งอรุณ คือ แสงอาทิตย์ส่องเห็นลายมือ หรือแสงส่องใบไม้เป็นสีเขียวแล้ว จึงรับประทานอาหารได้ (ควรแปรงฟันหลังรับประทานอาหารเที่ยงแล้ว เพื่อจะได้ไม่มีเศษอาหาร ล่วงลำคอหลังเที่ยงวันไปแล้ว)
สิ่งที่รับประทานได้หลังเที่ยงวันไปแล้ว
-ยารักษาโรคทุกชนิด
-เภสัชทั้ง 5 มีเนยใส เนยข้น น้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำมัน
-น้ำตาลทุกชนิด น้ำอัดลม
-น้ำปานะ คือน้ำผลไม้ที่คั้นแล้วกรองแล้วไม่มีกาก คั้นกรองจากผลไม้ที่มีขนาดตั้งแต่ผลลูกมะตูมลงไป
เช่น น้ำส้ม น้ำองุ่น น้ำลำไย น้ำเก็กฮวย น้ำมะขาม น้ำกระเจี๊ยบ น้ำฝรั่ง น้ำแอปเปิ้ล น้ำลิ้นจี่ น้ำลูกพรุน น้ำมะตูม น้ำขิง น้ำตาลสด
ชา,กาแฟ(ที่ไม่ใส่ครีมและนม)
สิ่งที่รับประทานไม่ได้หลังเที่ยงวันไปแล้ว
-น้ำผลไม้มหาผล หมายถึง ผลไม้ที่มีผลใหญ่กว่าลูกมะตูมขึ้นไปดื่มไม่ได้ เช่น น้ำมะพร้าว น้ำส้มโอ น้ำสัปปะรด น้ำแตงโม
-น้ำนมทุกชนิดโอวัลติน โกโก้ กาแฟที่ใส่ครีมเทียมและ ชาใส่ครีมเทียม
-โกโก้ที่ไม่ใส่นม ช็อคโกแลต ก็ไม่ได้ เพราะผลโกโก้ใหญ่กว่ามะละกอ
-น้ำผัก น้ำธัญพืชทุกชนิด เช่น น้ำผักทุกชนิด น้ำข้าวทุกชนิด น้ำถั่วทุกชนิด น้ำเต้าหู้ น้ำฟักทอง น้ำแครอท
-หากมีข้อสงสัยไม่แน่ใจ (ก็ยกให้ศีลไม่รับประทานดีกว่า)
ศีลข้อ 7 นัจจะคีตะวาทิตะวิสุกะทัสสะนา มาลาคันธะวิเลปะนะทาระณะ
มัณฑะนะวิภูสะนัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ. (แยกออกเป็น 2 ส่วนคือ)
-นัจจะคีตะวาทิตะวิสุกะทัสสะนา
คือ เว้นจากการฟ้อนรำขับร้อง ประโคมเครื่องดนตรี ดูกีฬา การละเล่น ละคร โขน หนังต่างๆ เว้นจากการวิ่งเล่นกีฬา เล่นหมากรุก เล่นซ่อนหา ผิวปาก ตบมือเคาะจังหวะตามเสียงเพลง
ดูเกมส์โชว์ไม่ได้ ดูข่าวหรือสารคดีได้ ซื้อหวยวันนี้ไม่ได้เพราะว่าเป็นเชิงการพนันและการละเล่นอดใจไว้ซื้อวันอื่นนะจ๊ะ
-มาลาคันธะ วิเลปะนะ ทาระณะมัณฑะนะ วิภูสะนัฏฐานา คือ เว้นจากการประดับตกแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับ เช่นสร้อยคอประดับ สร้อยข้อมือแหวน ต่างหู ผ้าชายครุย ดอกไม้ ของหอม เครื่องทาผิวเครื่องย้อมขัดผิวให้งาม แต่ถ้ามีเหตุ เช่น เป็นผื่นคัน สามารถทาแป้งแก้คันได้ ผิวแห้งทาโลชั่นได้ ริมฝีปากแตกแห้งทาลิปมันที่ไม่มีสีได้ ใช้ลูกกลิ้งเพื่อป้องกันหรือขจัดกลิ่นกายได้ แต่ทาเพื่อให้หอมไม่ได้
สำหรับคุณผู้หญิงที่ต้องทำงานโดยหน้าที่ที่ต้องแต่งหน้าแล้ววันพระที่จะถือศีลอุโบสถจะต้องทำอย่างไร
ในวันนี้ก่อนที่จะสมาทานศีลอุโบสถก็ให้แต่งหน้าให้เข้มไปเลยชนิดที่ว่าอยู่ได้ทั้งวัน เครื่องประดับจะใส่อะไรก็ใส่ได้ตามใจชอบ จะใส่อะไรก็ให้เต็มที่เลยก่อนสมาทานศีล แต่หลังจากที่สมาทานศีลแล้ว อันนี้เติมแป้งไม่ได้แล้วนะ เครื่องประดับ เช่นแหวนที่ใส่อยู่หากหลังสมาทานศีลแล้วหากถอดออก แล้วจะใส่เข้าไปใหม่อันนี้ก็ไม่ได้เช่นกััน
ศีลข้อ 8 อุจจาสะยะนะมะหาสะยะนา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
เว้นจากการนั่งหรือนอนบนที่นอนสูง ที่นอนใหญ่)
-ที่นอนสูง คือ เตียงหรือตั่งที่ขาเตียงหรือตั่งสูงเกิน 8 นิ้วพระสุคต(นิ้วของพระพุทธเจ้า)
ประมาณ 10 นิ้ว 3 กระเบียด (มาตราช่างไม้ไทย 4 กระเบียดเท่ากับ 1 นิ้ว)
(พิจารณาง่ายๆคือที่นอนใดที่นั่งแล้วขาลอยจากพื้นอันนี้ก็ถือว่าสูง)
-ที่นอนใหญ่ คือที่นอนหรือเครื่องปูลาดที่มีขนาดใหญ่พอ นางฟ้อนรำ 16 นางยืนรำได้
- ฟูกที่ยัดด้วยนุ่นหรือสำลีห้ามนอนเช่นกัน แต่หมอนยัดด้วยนุ่นหรือสำลีใช้หนุนศีรษะได้ ห้ามกอดหมอนข้าง
-เครื่องปูลาดที่วิจิตรด้วยเงินและทองห้ามนั่งหรือนอนเช่นกัน
ศีลอุโบสถที่รักษาในวันพระนั้น สามารถสมาทานศีลด้วยตนเอง รักษาศีลอุโบสถอยู่ที่บ้านได้
จะเริ่มสมาทานศีลอุโบสถในวันพระได้ตั้งแต่รุ่งอรุณ คือแสงอาทิตย์ส่องเห็นลายมือ หรือเห็นใบไม้เป็นสีเขียวแล้ว และเมื่อถึงรุ่งอรุณในวัดถัดไป ศีลอุโบสถที่สมาทานไว้จะเหลือเพีงแค่ ศีล 5หรือศีล 8 ตามที่ได้สมาทานรักษาไว้ก่อนหน้าที่จะสมาทานศีลอุโบสถในวันพระ โดยไม่ต้องลาศีลอุโบสถ เพราะในคำสมาทานนั้นได้ประกาศไว้แล้วว่า จะรักษาศีลอุโบสถเพียงแค่วันหนึ่ง คืนหนึ่งเท่านั้น
Monday, August 6, 2007
เจ้ากรรมนายเวรมีหรือไม่
เจ้ากรรมนายเวร
โดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
เนื้อหาต่อไปนี้ เป็นบทสนทนาระหว่างอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ กับผู้ที่สนใจ..... เรื่อง "เจ้ากรรมนายเวร" ซึ่งก็ยังมีผู้สงสัยและสนใจในเรื่องนี้อยู่มาก ถ้าหากสามารถจะทำให้ทุกท่านที่สนใจได้มีความเห็นที่ถูกต้องในเรื่องนี้ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก เพราะการสะสมความเห็นที่ถูกนั้น ย่อมสามารถเป็นปัจจัยให้เราสามารถเจริญกุศลได้ยิ่งๆ ขึ้นไป
ถาม.....มีผู้กล่าวว่า การทำบุญแล้ว
ควรอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร
ไม่ทราบว่า คำว่า 'เจ้ากรรมนายเวร' หมายถึงอะไร
การทำสมาธิ เมื่อทำแล้วจะอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรด้วยได้หรือไม่ อย่างไร
สุ.........รู้สึกว่าใช้คำว่า 'เจ้ากรรมนายเวร' กันมาก
และกลัวเหลือเกินว่า ถ้าไม่อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร จะไม่พ้นจากเคราะห์กรรมต่างๆ
มีท่านผู้ใดเคยทำ และเคยคิดอย่างนี้ บ้างไหม
ความจริงนั้นเมื่อทำบุญแล้ว ควรอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่สามารถรู้และอนุโมทนาได้
แต่คำว่า 'เจ้ากรรมนายเวร' ดูจะเป็นคำคล้องจองของคำว่า..
'กรรมเวร' และ 'เจ้านาย' ที่ว่า..มีเจ้ากรรมนายเวรนั้น
ตามความเป็นจริงแล้ว ใครทำให้ท่านปฏิสนธิในชาตินี้
อะไรทำให้แต่ละบุคคลเกิดในภพนี้ ในภูมินี้ เจ้ากรรมนายเวรเป็นผู้ทำหรือ
หรือว่าเป็นกรรมของแต่ละท่านที่ได้กระทำแล้ว กรรมหนึ่งเป็นปัจจัยทำให้..
ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นในภูมินี้ เพราะฉะนั้น ไม่มีบุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นเจ้ากรรมของใคร
เพราะว่าแต่ละท่านมีกรรมเป็นของตน แม้แต่ปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นจิตขณะแรกที่เกิดในภูมินี้
ก็เป็นผลของกรรมหนึ่งที่ได้กระทำแล้วในอดีตของท่านเอง ไม่ใช่มีเจ้ากรรมทำให้ท่านปฏิสนธิ
...ข้อความใน อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต ธัมมปริยายสูตร ข้อ ๑๙๓
...พระผู้มีพระภาคฯ ตรัสว่า ....
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ....
เราจักแสดงธรรมปริยายอันเป็นเหตุแห่งความกระเสือกกระสนแก่เธอทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว
ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับคำพระผู้มีพระภาคฯ แล้ว พระผู้มีพระภาคฯ ได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ....
สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีกรรมเป็นของของตน
เป็นผู้รับผลของกรรม เป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด
มีกรรมเป็นพวกพ้อง และมีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
กระทำกรรมใด เป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม
ย่อมเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น
เพราะฉะนั้น จึงไม่มีใครเป็นเจ้ากรรมนายเวรของใคร
หรือว่าท่านผู้ใดเข้าใจเรื่องเจ้ากรรมนายเวรว่าอย่างไร
มีใครเคยอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรบ้าง
ถาม.....ผมเพียงยกมือว่าเคยกระทำเช่นนั้น แต่ผมไม่มีความรู้เรื่องเจ้ากรรมนายเวร
สุ.........ขณะที่อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรนั้น ไม่รู้ว่ามีเจ้ากรรมนายเวรหรือไม่ ใช่ไหม
ถาม.....เป็นคติความเชื่อที่เชื่อว่า เรากระทำอะไรให้ใครเขาไม่พอใจ
เดือดร้อนอย่างไรก็แล้วแต่ เราก็ขอให้ต่างฝ่ายต่างมีอโหสิกรรมต่อกัน
อันนั้นเป็นความเชื่อว่า ถ้าเราแผ่ส่วนกุศลไป แผ่เมตตาไป
เชื่อว่าย่อมเป็นการกระทำที่ดี และอย่างน้อยที่สุดก็ทำให้เราสบายใจ
เพราะเชื่ออย่างนี้ จึงทำอย่างนี้ และเชื่อต่อไปโดยไม่ได้ศึกษาว่า....
พระผู้มีพระภาคฯ อาจจะตรัสไว้ที่ไหน คิดว่าเป็นคติทางพุทธศาสนา
สุ.........แต่ไม่เห็นเจ้ากรรมนายเวรใช่ไหม
ถาม.....ที่เป็นตัวเป็นตนก็มี พ่อแม่ของผม ผมก็ถือว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวร
ท่านมีบุญคุณกับผม ผมก็อุทิศให้พ่อแม่ ครูบา อาจารย์ อุทิศให้ทุกครั้งไป
สุ.........ถ้าอย่างนั้น ในความหมายนี้ คงหมายถึงผู้ที่มีกรรมต่อกัน
ไม่ว่าจะเป็นกุศลกรรม หรืออกุศลกรรม ก็ชื่อว่าเจ้ากรรมนายเวร
ถาม....ไม่ทราบว่าความจริงจะเป็นอย่างไรสำหรับคนอื่น สำหรับกระผม
กระผมถือว่าใครก็แล้วแต่กระทำกรรมต่อกัน เราก็อยากอุทิศให้
สุ.........นั่นเป็นเรื่องการอุทิศส่วนกุศล เป็นเรื่องของการเจริญเมตตา
แต่นี่เป็นเรื่องการเข้าใจเรื่องเจ้ากรรมนายเวร
ไม่ทราบว่าแต่ละท่านมีความคิดความเข้าใจเรื่องของเจ้ากรรมนายเวรอย่างไร
เพราะรู้สึกว่าจะเป็นธรรมเนียมในการที่จะอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร
ถาม.....กระผมเป็นคนธรรมดาๆ ที่ไม่ได้ศึกษา มีความเชื่อว่า..
ถ้าเรากระทำความไม่ดีอะไรกับใครไว้ ก่อความไม่พออกพอใจแก่ใครไว้
ก็คิดว่ากรรมนั้นอาจเกิดสนองแก่เราได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงคิดว่า
ถ้าเราอโหสิกรรมต่อกันเสียก็คงจะดี อันนี้เป็นความเชื่อ
นอกจากนั้นเคยไปพบใครไม่ทราบ บอกว่า เวลาเจ็บป่วย
พระภิกษุท่านบอกว่ามีสาเหตุหลายอย่าง จำได้ว่ามีพยาธิ มีอุตุ มีกรรม
และมีข้อหนึ่งว่า เป็นเรื่องของกรรมที่เราทำอะไรในชาติก่อน
อาจจะทำให้ผู้ถูกกระทำนั้นมาทวงบุญทวงคุณ หรือว่าทวงกรรมที่เราไปทำเขา
ด้วยเหตุนั้นผมจึงเชื่อเช่นนั้น เวลาทำบุญทำกุศลอะไรก็แล้วแต่ แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้
เมื่อเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยต่างๆ ก็ไม่ลืมที่จะใส่บาตรกรวดน้ำ
ไปให้ผู้ที่อาจจะเป็นเจ้ากรรมนายเวร ถ้ามีอะไรต่อกันก็ขออโหสิกรรมแก่กัน
ทำอย่างนั้นด้วยความเชื่อ ผมไม่ทราบว่าถูกต้องตามคติ หรือ..
พระธรรมของพระผู้มีพระภาคฯ หรือเปล่า
สุ.........ขอให้พิจารณาโดยละเอียดถึงเรื่องการอุทิศส่วนกุศล และการอบรมเจริญเมตตา
สำหรับการอุทิศส่วนกุศลนั้น เมื่อได้ทำกุศลแล้ว
ก็สามารถจะอุทิศให้แก่บุคคลหนึ่งบุคคลใดที่สามารถจะล่วงรู้
เพื่อเขาจะได้เกิดกุศลจิตอนุโมทนา ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่หรือว่าเป็นผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
แต่สำหรับความเข้าใจเรื่องเจ้ากรรมนายเวรนี้ ....
ขอให้พิจารณาจริงๆว่า แต่ละท่านมีกรรมเป็นของตน เพราะฉะนั้น
จึงไม่มีเจ้ากรรมนายเวร ไม่มีบุคคลหนึ่งบุคคลใดจะดลบันดาลสุขทุกข์ให้กับท่าน
เพราะสุขทุกข์ของแต่ละท่านนั้น ย่อมต้องเป็นผลของการกระทำคือกรรมของท่านเอง
ส่วนการอุทิศส่วนกุศลขณะนั้น ผู้อุทิศต้องมีเมตตาจิตจึงสามารถ
จะอุทิศส่วนกุศลให้แต่ละบุคคลนั้นได้ ถ้าขาดเมตตาจิตในบุคคลใดก็..
จะไม่อุทิศส่วนกุศลให้แก่บุคคลนั้น เพราะฉะนั้นการอุทิศส่วนกุศลจึง..
เป็นการเจริญเมตตา คือต้องมีความเมตตาจึงสามารถจะอุทิศส่วนกุศลในขณะนั้นได้
สุ.........ถ้าคิดถึงเจ้ากรรมนายเวรที่มองไม่เห็น กับคิดถึงบุคคลที่ท่านกำลังไม่พอใจ
แทนที่จะคอยโอกาสมีเมตตาอุทิศส่วนกุศลให้กับ..
เจ้ากรรมนายเวรที่ไม่เห็นหน้าและไม่รู้ว่าเป็นใคร
แต่กับคนซึ่งท่านกำลังเห็นและไม่พอใจนั้น อาจจะเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรได้ไหม
ซึ่งความจริงเจ้ากรรมนายเวรไม่มี ทุกท่านมีกรรมเป็นของของตน
แต่ถ้าคิดถึงกรรมที่ตนได้เคยทำต่อบุคคลอื่น
แล้วเรียกบุคคลที่ท่านกระทำด้วย ..ว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรของท่าน
แล้วใคร่ที่จะเห็นเขามีความสุข ให้พ้นจากความผูกโกรธในขณะนั้น
ก็ควรเมตตาบุคคลที่ท่านเห็น แทนที่จะไปอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรที่มองไม่เห็น
.....นี่ก็เป็นสิ่งที่ควรจะพิจารณา
ส่วนการเจริญเมตตานั้นก็เจริญได้ต่อคนที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น
การเจริญเมตตาต่อคนที่ล่วงลับไปแล้วไม่มีประโยชน์ ไม่เกิดผล
เพราะฉะนั้นควรพิจารณาตามความเป็นจริงว่าบุคคลที่สิ้นชีวิตแล้วนั้น
สูญสิ้นสภาพของการเป็นบุคคลที่เคยเกี่ยวข้อง เคยมีความสัมพันธ์
เคยชอบหรือเคยชังต่อกันก็จบสิ้นไปแล้ว
ฉะนั้นการที่สามารถมีเมตตาต่อบุคคลซึ่งไม่เป็นที่รักได้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
จึงเป็นผู้ที่อบรมเจริญเมตตาจริงๆ
มีกำลังของเมตตาที่สามารถจะเจริญได้แม้บุคคลซึ่งไม่เป็นที่รักก็เมตตาได้
สุ.........แต่ถ้าบุคคลนั้นสูญสิ้นความเป็นบุคคลนั้นแล้ว
จะมีเมตตาต่อบุคคลนั้นทั้งๆที่ท่านเองก็รู้ว่าไม่มีบุคคลนั้นอีกต่อไป
....จึงย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ฉันใด
....ความคิดเรื่องเจ้ากรรมนายเวรก็ฉันนั้น
ในเมื่อกรรมได้กระทำไปแล้ว และกรรมนั้นเป็นของท่านเอง และ..
บุคคลที่ท่านกระทำกรรมในชาติไหนๆก็ตาม ในปัจจุบันชาตินี้จะเป็นใคร และ..
ถ้ากล่าวลอยๆว่า เจ้ากรรมนายเวร โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ก็ย่อมเป็นโมฆะ
เพราะไม่รู้ว่าเป็นใครที่ไหน
แต่ถ้าระลึกได้ว่าควรจะมีเมตตา ควรอุทิศส่วนกุศลให้บุคคลทั้งหลายผู้ที่....
สามารถล่วงรู้ได้ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นใคร ท่านก็สามารถจะเจริญเมตตา
โดยอุทิศส่วนกุศลให้แม้คนซึ่งไม่เป็นที่รัก จะดีกว่าการไปอุทิศส่วนกุศลให้..
เจ้ากรรมนายเวรโดยไม่ทราบว่าชาติไหน ท่านได้ทำกรรมอะไรกับบุคคลใด
จึงจะเรียกบุคคลนั้นว่า เป็นเจ้ากรรมนายเวรของท่าน
เพราะว่า แม้กรรมในชาติก่อนๆ ยังนึกไม่ออก
ไม่สามารถจะล่วงรู้ได้ว่า ในชาติก่อนๆ ได้กระทำกรรมอะไร
จึงมีเจ้ากรรมนายเวร และเป็นเจ้ากรรมนายเวรในชาติไหนก็ไม่รู้
และถ้าเป็นในชาตินี้ ใครเป็นเจ้ากรรมนายเวรของท่านบ้าง
และเจ้ากรรมนายเวรซึ่งท่านได้กระทำกรรมต่อบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือว่า..
ล่วงลับไปแล้ว ถ้าล่วงลับไปแล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้บุคคลนั้นได้
แต่ไม่ใช่โดยฐานะซึ่งเป็นเจ้ากรรมนายเวรลอยๆ โดยไม่รู้ว่าเป็นใคร
และเป็นเจ้ากรรมนายเวรในชาติไหน
สภาพธรรมนั้นต้องไตร่ตรองพิจารณาเหตุผลจริงๆ
เพราะถ้าไม่พิจารณาเหตุผลก็อาจจะกระทำไปโดยไม่เข้าใจว่าเป็นกุศลจริงๆหรือไม่
เพราะเพียงแต่การกล่าวอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรโดยไม่รู้ว่า...
เจ้ากรรมนายเวรเป็นใครนั้น โดยมากมักจะกลัวเจ้ากรรมนายเวรเพราะคิดว่า ..
เจ้ากรรมนายเวรจะทำให้ชีวิตของท่านลำบากเดือดร้อน
แทนที่จะเข้าใจให้ถูกต้องว่าอกุศลกรรมที่ท่านได้กระทำแล้ว
ซึ่งเกิดเพราะกิเลส เป็นเหตุให้วิบาก คือ...
ผลของกรรมนั้นๆ เกิดขึ้นกับท่านเอง
ถาม......อย่างพวกที่ผูกพยาบาทกัน ถือว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันหรือไม่
สุ.........โดยสถานไหน
ถาม......มีธรรมบทเรื่องนางยักษิณี มีการผูกเวรกันมาหลายชาติ
สุ.........เมื่อผูกเวรกันแล้วหนทางที่จะหมดเวรได้นั้น คืออย่างไร
ถาม......เรื่องที่จะหมดเวรก็คือว่า ตอนสุดท้ายนางยักษิณีจะไปจับลูกของผู้หญิง
คนที่ผูกเวรเพื่อนำไปเป็นอาหาร ผู้หญิงนั้นวิ่งเข้าไปในวัด
เอาลูกไปวางไว้ที่พระบาทของพระพุทธเจ้า
และพระพุทธเจ้าทรงเรียกนางยักษิณีพร้อมด้วยผู้หญิงคนนั้น
และทรงแสดงเทศนาจนคนทั้งสองเลิกผูกเวรกัน
สุ.........เพราะฉะนั้น ที่จะหมดเวรกันได้นั้น คืออย่างไร
ถาม......คงจะเป็นเพราะกุศลจิตที่เกิดขึ้น
สุ.........คือ ไม่จองเวร ไม่โกรธกันต่อไปขณะใด ขณะนั้นก็หมดเวรต่อกัน คือ กุศลจิตเกิดทั้งสองฝ่าย
ถาม......ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งทำบุญ และมีเจตนาดีที่จะให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับผลบุญที่ตนกระทำแล้ว
ฝ่ายนั้นอาจจะเลิกคิดพยาบาท เป็นไปได้ไหม
สุ.........ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อได้ทำกุศลแล้วก็อยากให้ผู้อื่นเกิดกุศลด้วย
จึงบอกให้ผู้นั้นรู้ในกุศลนั้น เพื่อเขาจะได้อนุโมทนา
แต่ถ้าพูดถึงเจ้ากรรมนายเวร หลังจากที่เราทำกุศลแล้ว จะรู้ได้อย่างไร
ถาม......เมื่ออุทิศส่วนกุศลให้คนที่โกรธกัน โดยบอกว่าไปทำบุญมา ขอให้ท่านได้รับผลบุญด้วย
สุ.........บอกให้เขารู้เพื่อที่เขาจะได้อนุโมทนา แต่ไม่ใช่อย่างที่คิดว่า
เป็นเจ้ากรรมนายเวรตั้งแต่ครั้งไหนก็ไม่รู้ กรรมอะไรก็ไม่รู้
แล้วยังไปกลัวอีกว่าที่อุทิศส่วนกุศลให้เพื่อเขาจะได้ไม่มาทำให้เราเดือดร้อน
ดูเหมือนกับว่าเขาสามารถจะดลบันดาล ทั้งๆที่เราเป็นผู้กระทำกรรม
เราเป็นผู้มีกรรมเป็นของเราเอง ไม่ใช่คนอื่นสามารถกระทำกรรมให้เราได้
ถาม......คิดว่าเป็นอย่างนั้น
สุ.........ในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็อย่าผูกโกรธ แต่ไม่ต้องไปคิดถึงกรรม
ในอดีตที่ผ่านมาแล้วโดยไม่รู้ว่ากรรมอะไร เจ้ากรรมนายเวรอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้
และถ้าไม่ชอบใครก็คิดเสียว่าคนนั้นเป็นเจ้ากรรมนายเวรอย่างที่เราเคยคิด
ก็แล้วกันจะได้ไม่โกรธเขา ซึ่งการคิดอย่างนั้นเป็นการคิดไม่ถูกต้อง ดังนั้น
แทนที่จะต้องไปนั่งอุทิศส่วนกุศลให้ จึงควรเกิดเมตตาในบุคคลนั้นทันที
ถาม......เรื่องการแผ่เมตตามีคนเป็นจำนวนมากแผ่ไปไม่เฉพาะแต่เพื่อนฝูง
ญาติมิตรเท่านั้น แต่แผ่ให้แก่โอปปาติกะทั้งหลายด้วย
สุ.........เมื่อทำกุศลแล้ว ก็ควรอุทิศส่วนกุศลที่กระทำแล้ว ให้ผู้ที่สามารถล่วงรู้
เพื่อเขาจะได้เกิดกุศลจิตอนุโมทนา แต่ไม่ใช่คิดว่าโอปปาติกะนั้นเป็น
เจ้ากรรมนายเวร คืออยากให้เข้าใจคำว่า 'เจ้ากรรมนายเวร' ให้ถูกต้อง
ทุกคนมีกรรมเป็นของของตนเอง เมื่อได้กระทำกรรมต่อใครไว้
และอยากจะให้หมดกรรมนั้น จึงควรเกิดกุศลจิตแทนการผูกโกรธ
ถาม......อยากทราบว่า ตามที่ยกข้อความในธรรมบทขึ้นมานั้น คือกุลสตรี
ซึ่งในอดีตชาติเป็นภรรยาหลวง และภรรยาน้อย ภรรยาหลวงได้ทำให้ภรรยาน้อย
แท้งลูกถึง ๒ ครั้ง ครั้งที่ ๓ ถึงสิ้นชีวิต ภรรยาน้อยจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรหรือไม่
สุ.........ที่ใช้คำว่า 'เจ้ากรรมนายเวร' หมายความว่าอย่างไร
ถาม......เมื่อภรรยาน้อยตายไปแล้ว
ผูกอาฆาตว่าถ้าเกิดมาในชาติใดๆ จะขอกินลูกภรรยาหลวงทุกชาติ
สุ.........แล้วเป็นเจ้ากรรมนายเวรอย่างไร
ถาม......เพราะยังไม่เข้าใจ จึงเรียนถามอาจารย์ว่าเป็นหรือไม่
สุ.........ไม่ใช่เป็นเจ้ากรรมนายเวรแต่เป็นความผูกโกรธ ทุกท่านในขณะนี้อาจจะมีภัย
หรืออาจจะมีศัตรูจากบุคคลหนึ่งบุคคลใดในชาติปัจจุบันนี้ จะกล่าวว่า
เป็นเจ้ากรรมนายเวรกันในอดีต หรือว่าจะเกิดมามีความผูกโกรธกันในปัจจุบันชาติ
แต่บุคคลนั้นไม่สามารถจะทำอันตรายบุคคลใดได้
ถ้ากรรมของบุคคลที่ถูกกระทำนั้นไม่ถึงกาลที่จะให้ผล แต่ถ้าเป็นผู้มีกุศล
สั่งสมมาดีพร้อมทั้งคติสมบัติ กาลสมบัติ อุปธิสมบัติ ปโยคสมบัติ
แม้ว่าบุคคลอื่นจะโกรธหรือผูกโกรธอย่างไรก็ตาม
ย่อมไม่สามารถที่จะทำอันตรายได้ เพราะแต่ละท่านมีกรรมเป็นของตน
เมื่อกุศลกรรมเป็นเหตุก็ทำให้เกิดกุศลวิบากจิต
ฉะนั้นบุคคลอื่นจึงทำร้ายใดๆไม่ได้ทั้งสิ้น
แต่บุคคลที่โกรธท่านก็อาจจะยังโกรธจากวันเป็นเดือนเป็นปี
จากชาตินี้ไปถึงชาติหน้าก็ได้ เป็นเรื่องของบุคคลซึ่งผูกโกรธเอง
แต่ไม่ใช่ว่าบุคคลที่ผูกโกรธจะเป็นเจ้ากรรมที่สามารถจะดลบันดาลอะไรให้
เพียงแต่ว่าเมื่ออกุศลกรรมของท่านพร้อมที่จะทำให้เกิดอกุศลวิบากเมื่อใด
เมื่อนั้นก็เป็นโอกาสที่อกุศลวิบากจะเกิดขึ้น เป็นผลของอกุศลกรรมของท่านเอง
ถาม......เรื่องของกรรมที่กล่าวมานั้นถูกต้อง แต่สำหรับรายนี้เมื่อเขาผูกโกรธแล้ว
ผูกอาฆาตแล้ว ไปเกิดในชาติต่อไป และเกิดเป็นแมวในบ้านนั้น
หลังจากภรรยาหลวงตาย ไปเกิดเป็นไก่ในบ้านนั้นเหมือนกัน
เวลาไก่ออกไข่แมวจะกินทุกที เพราะฉะนั้นจะว่าเป็นกรรมของไก่
....หรือ เป็นการกระทำของแมว
สุ.........ถ้าไม่มีกรรมเป็นของตน บุคคลอื่นจะทำอันตรายได้หรือไม่
ถาม......ในที่นี้เป็นการกระทำของแมว ไม่ใช่การกระทำของไก่ สุ.........ถ้าบุคคลนั้นไม่มีกรรมเป็นของตนเอง แมวนั้นจะทำร้ายได้ไหม ถาม......จะเป็นการกระทำกรรมในอดีตชาติที่เป็นภรรยาหลวง สุ.........นอกจากพระผู้มีพระภาคฯ แล้ว บุคคลอื่นไม่สามารถจะ ก็ต้องเป็นที่น่าประหลาดมหัศจรรย์ว่า บุคคลนั้นสามารถ ล่วงรู้ได้อย่างไร แต่ข้อสำคัญนั้น คือ ที่พระผู้มีพระภาคฯ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีกรรมเป็นของของตน เป็นผู้รับผลของกรรม กระทำกรรมใดไว้ เป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม นี่คือกรรมของตัวเอง เพราะฉะนั้น เรื่องเจ้ากรรมนายเวร อย่าเข้าใจผิดคิดว่า |
ถาม......ยิ่งฟังยิ่งงง เกรงว่าจะเป็นเรื่องของถ้อยคำหรือภาษาเท่านั้นหรือเปล่าไม่ทราบ
แต่ความเข้าใจซึ่งตรงกันคือว่า ให้มีอันเป็นไปอย่างนั้นเกิดขึ้น
แต่ท่านอาจารย์เรียกว่าเป็นกรรมของเราเอง ไม่ใช่มีเจ้ากรรมนายเวร
แต่ที่เชื่อๆกัน คือกรรมของเราเองที่ไปฆ่าเขา ชาติต่อไปเขาก็มาฆ่าเรา
แต่ทางภาษาเราถือว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวร คือเราไปกระทำใครเขาไว้
แต่ไม่ใช่หมายความว่า จะเป็นกรรมมาจากคนอื่น เป็นเพราะกรรมของเราเอง
รวมทั้งพระโมคคัลลานะ ตอนสุดท้ายก็สิ้นชีวิตเพราะกรรม
สุ.........ทุกท่านเป็นผู้มีกรรมเป็นของของตนเอง ในปัจจุบันชาตินี้จำได้ไหมว่า
ได้กระทำกรรมอะไร หรือว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรของใครบ้าง
ถาม......บางทีก็จำได้ว่าไปทำอะไรให้ใครเจ็บช้ำน้ำใจ
เคยมีและก็ขออโหสิกรรมไปแล้ว
สุ.........เมื่อคนนั้นสิ้นชีวิตไปแล้วเกิดเป็นอีกบุคคลหนึ่ง
ยังจะถือว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรคนเก่าอยู่อีกหรือไม่
ถาม......เรื่องนี้ไม่รู้
สุ.........แต่ละคนไม่ได้มีกรรมกรรมเดียว ได้กระทำกรรมกันมาแล้วมาก
เคยฆ่าสัตว์มาแล้ว สัตว์ที่ถูกฆ่านั้นเป็นเจ้ากรรมนายเวรหรือเปล่า
และสัตว์จะจำได้ไหมว่า.....
เคยถูกใครฆ่า เช่น ไก่ตัวหนึ่งถูกฆ่าตายแล้วไปเกิดใหม่เป็นมนุษย์
ไก่ตัวนั้นยังจะจำได้ไหมว่า เขาเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรของท่าน
ถาม......คงจำไม่ได้แน่นอน
สุ.........จำไม่ได้ทั้งนั้น คือคนที่กระทำกรรมก็จำไม่ได้ว่า
ได้กระทำกรรมต่อบุคคลนี้ เพราะว่าตัวเองก็ไปเกิดใหม่
เพราะฉะนั้น จึงลืมไปแล้วว่า....
ชาติก่อนได้เคยกระทำกรรมอะไรไว้กับใคร
จะเป็นเจ้ากรรมนายเวรของใครก็จำไม่ได้อีก
.......เพราะว่าจำเรื่องของชาติก่อนไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น เรื่องเจ้ากรรมนายเวรจึงเป็นเรื่องของความคิดเท่านั้น
ต่างคนต่างก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรของกันและกันทั้งนั้น
โดยลักษณะดังกล่าวข้างต้นในสังสารวัฏฏ์
ถาม......ใช่ เราไม่สามารถที่จะรู้ได้
เพราะเราไม่มีญาณหยั่งรู้อย่างพระผู้มีพระภาคฯ
สุ.........ควรพิจารณาอย่างไรเรื่องเจ้ากรรมนายเวร เช่น ไก่ที่ถูกฆ่าไปตัวหนึ่ง
ไก่ตัวนั้นไปเกิดใหม่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเจ้ากรรมนายเวรของใครในชาติก่อน
แม้เราเองในชาตินี้ก็ไม่รู้ว่าเราเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรของใครในชาติก่อน
เพราะฉะนั้นใครที่กำลังอุทิศส่วนกุศลให้เราซึ่งอาจจะเป็น
เจ้ากรรมนายเวรของเขาในชาติก่อน เราก็ไม่รู้อีก
เพราะว่าในชาตินี้เราจำชาติก่อนไม่ได้เลย
ชาตินี้ถ้าใครได้ทำอกุศลกรรมกับเรา
ถ้าจะคิดว่าเขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเรา
เราก็จำไม่ได้ว่าเขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราเมื่อไร
เขาเองก็จำเรื่องกรรมที่ทำต่อกันไม่ได้ ต่างคนต่างก็จำกรรมที่เคย
กระทำในชาติก่อนๆ ไม่ได้ทั้งสิ้น แล้วจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันอย่างไร
ถาม......กระผมจึงว่าน่าจะเป็นเรื่องของภาษาตามความเข้าใจของกระผม
และกระผมคิดว่าเราจำไม่ได้ว่าไปทำอะไรใครไว้ แต่มีความเชื่อว่า
เราคงเคยกระทำอะไรไว้ และเดี๋ยวนี้เรามีจิตที่บริสุทธิ์คิดว่า
จะอุทิศส่วนกุศลนั้นให้ใคร ก็แล้วแต่ที่ว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวร
สุ.........ท่านที่นั่งอยู่ในห้องนี้ เคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรของท่านผู้ถามหรือไม่
ผู้ฟัง....เรื่องนี้ตอบแทนได้เลยว่าไม่มีใครรู้ใครทั้งสิ้น
สุ.........แต่ก็อุทิศส่วนกุศลให้ทุกวัน และเขาก็ไม่รู้เลยว่าท่านอุทิศส่วนกุศลให้
เพราะเขาจำชาติก่อนไม่ได้ ขณะที่อยู่ในชาตินี้ ......
พบใครก็ไม่รู้ว่าเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรต่อกันหรือไม่
เพราะฉะนั้น แทนที่จะนึกว่าเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวร
แทนที่จะมีเวรโดยการผูกโกรธต่อกันและกัน ก็ควรมีเมตตาต่อกันทันที
จึงหมดเวรได้ ไม่ใช่ต้องไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร
โดยไม่รู้ว่าผู้ที่กำลังนั่งอยู่ในที่นี้อาจเป็นเจ้ากรรมนายเวรก็ได้
และทั้งๆที่อุทิศส่วนกุศลให้ก็ยังไม่รู้ว่าอุทิศส่วนกุศลให้ใครบ้าง
ถาม......ถ้ามีคนเขาอิสสาริษยาเรา เราจะทำอย่างไรจึงจะให้เขาเข้าใจว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นผิด
ถ้าเราทำบุญทำกุศลแล้วบอกให้เขาทราบเพื่อให้เขาอนุโมทนาด้วย แต่เมื่อคิดว่า
เขามีจิตริษยา จึงไม่บอกให้เขาทราบ และจะมีวิธีใดที่จะบอกเขาได้
สุ.........รู้ได้อย่างไรว่าเขาอิสสาริษยา
ถาม......จากเหตุการณ์ประมวลมาหลายๆอย่าง ซึ่งคนอื่นคงไม่รู้ แต่เราสามารถรู้ได้
สุ.........ใจของคนอื่น ใครจะสามารถแก้ไขได้ ถ้าไม่ใช่ตัวเขาเอง
ถาม......สมมุติว่าเราทำบุญแล้วจะให้เขาอนุโมทนาด้วย เราจะบอกเขาว่าอย่างไรดี
สุ.........ข้อสำคัญที่สุดคือ ผู้มีอกุศลจิตเป็นผู้ที่รู้ตัวเองว่ามีอกุศลจิตหรือไม่
ไม่ว่าใครทั้งนั้นที่กำลังมีอกุศลจิต รู้ตัวเองหรือไม่ว่าตนเองกำลังมีอกุศลจิต
หรือคิดว่าคนอื่นทั้งนั้นที่อิสสาริษยา นี่เป็นสิ่งต้องพิจารณา
แทนที่จะพิจารณาว่าคนอื่นริษยา ควรพิจารณาจิตของตนเองดีกว่าว่า
จิตของเราในขณะนั้นเป็นกุศลหรืออกุศล
ถาม......ก็ต้องเป็นอกุศลแน่ สุ.........เพราะฉะนั้น แทนที่จะไปมุ่งหวังเกินเลย ไปแก้ไขคนอื่น ผู้ใดเป็นผู้ฉลาดย่อมแก้ไขจิตของตนเอง เพราะว่าบางคนอาจมุ่งคิดจะแก้ไขบุคคลอื่นที่ริษยา ถ้าจะกล่าวถึงจิตของผู้ที่อุทิศส่วนกุศลก็เป็นกุศลจิต อย่าลืมว่า ถ้าจะคิดถึงเจ้ากรรมนายเวรก็คือ --------------------------------------------------------------------------- |
ที่มา http://www.dhammahome.com
Wednesday, August 1, 2007
Monday, July 30, 2007
Saturday, July 21, 2007
โครงการเสื้อผ้ามือสอง มูลนิธิกระจกเงา
กองทุนเสื้อผ้ามือสอง คือการรับบริจาคสิ่งของบริจาค เพื่อนำมาหมุนเวียนกลับคืนสู่ชุมชน และกลุ่มคนผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ เช่น คนชราที่ถูกทอดทิ้ง คนพิการ และร่วมกันระดมทุน รับของบริจาค เพื่อนำมาหมุนเวียนเป็นเงินกองทุนเพื่อเข้าไปช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสกองทุนเสื้อผ้ามือสอง เป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือ ผู้ด้อยโอกาสในชุมชน หรือเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นจากภัยทางธรรมชาติ โดยนำรายได้จากการขายเสื้อผ้ามือสองมาจัดตั้งเป็นกองทุนข้าวสาร เพื่อนำเข้าไปสนับสนุน และช่วยเหลือให้กับกลุ่มคนชรา กลุ่มผู้ทุพพลภาพที่ถูกทอดทิ้ง และเหตุฉุกเฉินพิเศษ เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม ฯลฯ
ที่ผ่านมา ทางกลุ่มฯกระจกเงาได้รับของบริจาคเสื้อผ้า ผ้าห่ม เสื้อกันหนาว ชุดนักเรียนมือสอง อุปกรณ์การเรียน จากบุคคลทั่วประเทศเป็นจำนวนมาก และได้นำเฉพาะในส่วนของเสื้อผ้ามือสอง และถุงเท้ามาจัดจำหน่าย ในส่วนของชุดนักเรียนมือสอง อุปกรณ์การเรียน ถุงเท้านักเรียน ได้นำไปมอบให้กับโรงเรียนต่างๆในตำบลแม่ยาวดังนั้น เพื่อให้เกิดกิจกรรมการมีส่วนร่วมของเยาวชน และชุมชนจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการสร้างกิจกรรม การจำหน่ายเสื้อผ้ามือสองภายในชุมชน และชุมชนใกล้เคียง และยังผลให้เกิดรายได้ที่จะนำไปใช้ประโยชน์ภายในชุมชนต่างๆ ให้กับกลุ่มคนผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ หรือมีความจำเป็นอย่างแท้จริงในแต่ละชุมชน เช่น กลุ่มคนชรา กลุ่มคนพิการที่ถูกทอดทิ้งในแต่ละชุมชนในพื้นที่ตำบลแม่ยาวทั้งหมด จึงได้จัดตั้ง " กองทุนเสื้อผ้ามือสอง " ขึ้นมา
โครงการกองทุนเสื้อผ้ามือสอง ดำเนินงานภายใตั " มูลนิธิกระจกเงา "
106 หมู่ 1 บ้านห้วยขม ต.แม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงราย 57100 โทร.053-737412-3
E-mail: ann@bannok.com MSN : nanay_jung@hotmail.com
|
Friday, July 20, 2007
" "สอนตัวเองให้สนุก" "
กลวิธีพูดสอนตัวเองนี้ เป็นกุศโลบายที่คุณสามารถใช้เป็นอุปกรณ์ในการพัฒนาปรับปรุงชีวิตของคุณเองให้มีความสมบูรณ์ลงตัวมากขึ้น วิธีสอนตัวเองนี้มีหลายสไตล์หลายรูปแบบ ขอเชิญเลือกนำไปใช้ได้ตามความชอบใจ ดังต่อไปนี้
๑.สอนให้ใฝ่สร้างสรรค์
พูดปลุกเร้าใจให้เกิดความรักในสิ่งที่ดีงาม จนเกิดความรู้สึกอยากลงมือทำ อยากสร้างสรรค์
ยกตัวอย่าง คุณป๊อก ไม่อยากจะทำงานดูแลบ้านช่องตามที่คุณแม่สั่งไว้เท่าไหร่นัก "โด่..งานของผู้หญิงมาให้เราทำได้ไง " ใจของคุณป๊อกคิดอย่างนี้ แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวคุณแม่กลับมาจะดุเอา คุณป๊อกจึงลงมือสอนตนเองให้มีความคิดใฝ่สร้างสรรค์ทันที โดยพูดกับตัวเองว่า
" ป๊อก..นายคิดดูนะ ทำความสะอาดบ้านนี่ดีจะตายไป บ้านจะได้สะอาดสะอ้าน คุณแม่กลับมาเห็นก็จะสบายใจ นี่ถ้าเราตั้งใจจัดข้าวของให้มันดี ๆ อะไร ๆ มันก็จะดูเรียบร้อยไปหมด หาก็ง่าย หายก็รู้ ปัดกวาดบ้าน ถูพื้นห้องให้มันสะอาด บ้านของเราก็จะน่าอยู่ อย่ากระนั้นเลย เรารีบลงมือทำเลยดีกว่า.. "
สอนให้ตัวเองเห็นคุณค่า จนคิดอยากจะทำแบบนี้แหละ ที่เขาเรียกว่า สอนให้ใฝ่สร้างสรรค์ คือ พูดสอนตัวเองให้เห็นคุณค่าของงานจนรู้สึกคันไม้คันมืออยากจะลงมือทำ
( ประยุกต์วิธีคิดมาจากหลักธรรมข้อ "ฉันทะ" องค์ประกอบข้อที่หนึ่งในหลักธรรมชุด"อิทธิบาทสี่"ในพระไตรปิฎก )
๒.ว่าให้อาย
พูดติเตียนตัวเองให้เกิดความรู้สึกละอายใจในกระทำที่ไม่ดีงาม สอนแบบนี้สนุกดีครับ ปรกติธรรมดาถ้ามีคนอื่นมาว่าเรา เราจะโกรธ แต่พอเราลองมาดุด่าตัวเอง กลับไม่โกรธแฮะ..แปลกดี
ยกตัวอย่าง คุณเฉียบ เอาเปรียบเพื่อน ไม่ยอมไปช่วยงานส่วนรวมตามที่นัดหมายตกลงกันไว้ คุณเฉียบแกเป็นคนชอบเอาเปรียบเพื่อนอย่างนี้มานานแล้ว จนเพื่อน ๆ เขาระอาใจกันหมด อย่าว่าแต่เพื่อน ๆ เลย ตัวคุณเฉียบเองแกก็เบื่อตัวเองอยู่เหมือนกัน ว่าทำไมนิสัยตูถึงแก้ไม่หายสักทีนะ ว่าแล้วแกก็ใช้วิธีสอนตัวเองแบบ "ว่าให้อาย" มาจัดการทันที แกจึงพูดกับตัวเองว่า
" เฉียบ..นายนี่มันทำตัวใช้ไม่ได้เลย น่าละอายที่สุด เดินผ้าหลุดกลางตลาดก็ยังไม่น่าอายเท่านี้ นายเอาเปรียบเพื่อนอย่างนี้ได้อย่างไร นายตกลงกับเพื่อนไว้แล้วทำไมไม่ไปตามนัด แถมยังมาทำหน้าทะเล้น ยิ้มระรื่นอยู่คนเดียวอีก รู้จักละอายใจบ้างสิ โตจนป่านนี้แล้ว แต่ทำตัวยังกับเด็ก เพื่อนๆ เขาเซ็งนายเต็มทีแล้วนะจะบอกให้ "
สารพัดคำพูดที่สรรหามา ถ้าว่าให้อายได้ ก็ลงมือจัดการเลยครับ ความรู้สึกละอายที่เราปลุกเร้าขึ้นมานี้ ในภายหลังจะสามารถช่วยคุ้มครองตัวเราไม่ให้กระทำผิดลงไปอีก เป็นการช่วยให้ตัวเราสามารถแก้ไขพฤติกรรมของเราให้ดีขึ้นด้วยตัวของเราเอง
(ประยุกต์วิธีคิดมาจากหลักธรรม "หิริ" องค์ประกอบข้อที่หนึ่งของธรรมะชุดคุ้มครองโลก จากพระไตรปิฎก)
๓. ขู่ให้กลัว พูดให้เกิดความรู้สึกเกรงกลัวภัย อันเป็นผลจากการกระทำอันประมาทของตนเอง หรือ จากการกระทำที่ผิดศีลธรรมของตนเอง ว่าตนเองจะต้องประสบผลร้ายในอนาคตอย่างไรบ้าง
ยกตัวอย่าง คุณจวบเป็นคนรักเพื่อนมาก วันหนึ่งเพื่อนรักมาชวนคุณจวบให้ไปเที่ยวโสเภณีด้วยกัน คุณจวบรู้สึกคล้อยตามเพื่อน เพราะเป็นคนรักเพื่อน แต่อีกใจหนึ่งก็ยังลังเลอยู่ คิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะดีแน่ แกจึงรีบเข้าไปนั่งคนเดียวเงียบ ๆ พูดกับตัวเองว่า
" นี่เรากำลังจะทำอะไรลงไปเนี่ย เราแน่ใจแล้วหรือว่าเราจะปลอดภัย การที่เราเข้าไปเที่ยวสถานที่เช่นนั้น เราอาจจะเจอคนพาลเกเร คนขี้เหล้าเมายา มาทำอันตรายเราก็ได้ และ การเที่ยวไปหมกมุ่นมัวเมาอย่างนั้น สักวันหนึ่งมันก็ต้องพลาดพลั้งติดโรคร้ายแรงถึงตายเข้าจนได้ เราจะมายอมเสียอนาคต เสียเงินทอง เสียชื่อเสียงเพียงเพื่อแลกกับการสนุกสนานเพียงชั่ววูบเดียวเช่นนี้หรือ มันช่างไม่คุ้มค่าเสียเลย" วิธีสอนตัวเองแบบ "ขู่ให้กลัว" นี้ คุณจะพูดยกแม่น้ำทั้งห้าอย่างไรก็ได้ ขอเพียงสามารถอธิบายให้ตัวเองยอมรับเหตุผล จนเกิดความกลัวภัยอันจะเกิดขึ้นจากการกระทำไม่ดีของตนเองเป็นใช้ได้
(ประยุกต์วิธีคิดมาจากหลักธรรม "โอตตัปปะ" องค์ประกอบข้อที่สอง ของชุดธรรมะคุ้มครองโลก จากพระไตรปิฎก)
๔.ปลุกเร้าให้เพียรสู้
พูดปลุกเร้าใจตนเองให้เกิดความเพียร ไม่ท้อถอยต่ออุปสรรคปัญหาทั้งปวง โดยไม่คิดพึ่งพาอาศัยใคร แต่จะยืนหยัดเพียรสู้ด้วยกำลังสติปัญญาของตนเอง
ยกตัวอย่าง คุณติ๋มทำงานธนาคารมานาน แต่ต่อมาภายหลังเศรษฐกิจตกต่ำ ธนาคารจำเป็นจะต้องปลดพนักงานออก คุณติ๋มผู้โชคร้ายเป็นผู้หนึ่งที่จะต้องถูกปลดออกจากงานด้วย ถึงแม้เธอจะเกิดความทุกข์ใจ และ เศร้าใจ แต่เธอก็พยายามสอนตัวเองว่า..
" ติ๋ม..เธอสู้ต่อไป เธอไม่ต้องกลัว คนอื่น ๆ ที่เขาโชคร้ายกว่าเธอยังมีอีกเยอะแยะ บางคนเขาไม่มีเสื้อผ้าจะใส่ ไม่มีข้าวจะกิน เธอยังสบายกว่าเขาไม่รู้กี่เท่าเธอรู้ไหม ติ๋ม..เธอทำได้อยู่แล้ว 0อุปสรรคความยากลำบากทั้งหลายพวกนี้มันมาพิสูจน์ตัวเธอว่า เธอเป็นนักสู้หรือเปล่า มันต้องเจออะไรยากๆ อย่างนี้สิ เธอถึงจะแกร่ง เธอมั่นใจได้เลยนะว่า ตราบใดที่เธอยังใจสู้ไม่ถอย เธอจะต้องฟื้นตัวได้อย่างแน่นอน"
สอนตัวเองให้ใจสู้แบบนี้แหละครับ คือวิธีคิดพึ่งตนเองแบบ"ชาวพุทธ" ที่แท้จริง คุณลองอ่านนิทานชาดกเรื่อง "พระมหาชนก " ดูก็ได้ นิทานเรื่องนี้จะสื่อให้คุณรู้เลยว่า"ความเพียรของมนุษย์นั้นแม้แต่เทวดายังต้องยอมรับนับถือ" ก้อดูสิ..ขนาดเรือพระมหาชนกแตกอับปางอยู่กลางมหาสมุทร ท่านยังคิดสู้ว่ายน้ำขึ้นบก ทั้ง ๆ ที่มองไม่เห็นฝั่ง นี้เป็นตัวอย่างของความเพียรที่เห็นได้อย่างชัดเจน
( ประยุกต์วิธีคิดมาจากหลักธรรมข้อ "วิริยะ" องค์ประกอบข้อที่สองในหลักธรรมชุด"อิทธิบาทสี่"ในพระไตรปิฎก )
ขอยกตัวอย่างเทคนิคสอนตัวเองมาให้ดูสัก ๔ แบบก่อน ทีนี้ถ้าคุณจับหลักได้แล้ว คุณก็จะสามารถที่นำไปประยุกต์เป็นวิธีสอนตนเองแบบอื่นๆ ได้ด้วยตนเอง อนึ่ง การสอนตนเองบ่อย ๆ เช่นนี้ นอกจากคุณจะได้มีการพัฒนาปรับปรุงตนให้ดียิ่งขึ้นแล้ว ในที่สุดคุณก็จะกลายเป็นคนที่รู้จักรับฟังคำติติงชี้แนะจากผู้อื่น คือ เป็นคนพูดง่ายไม่ปิดหูปิดตาตัวเองอีกต่อไป
Monday, July 16, 2007
ขั้นตอนการปฏิบัติศาสนพิธีถวายสังฆทาน...ขั้นตอนการถวายภัตตาหารเป็นสังฆทาน...ขั้นตอนถวายเพล
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ.(กราบ)
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ.(กราบ)
ทุติยัมปิ มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ.
ตติยัมปิ มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ.
มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง อุโปสะถัง ยาจามะ
มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง อุโปสะถัง ยาจามะ
สรรเสริญพระพุทธเจ้า (พระสวดนำ) (ผู้ร่วมงานนั่งพับเพียบ)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ.
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ.
ไตรสรณคมณ์ (พระสวดนำ)
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ.
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ.
ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.
ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ.
ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ.
ตติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.
ตติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ.
ตติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ.
(รับว่า)...อามะ ภันเต.
อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
กาเมสุ มิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
อิมานิ ปัญจะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ.
(พระนำ) อิมานิ ปัญจะ สิกขาปะทานิ สีเลนะ สุคะติง ยันติ. (รับว่า... สาธุ)
สีเลนะ โภคะสัมปทา. (รับว่า... สาธุ)
สีเลนะ นิพพุติงยันติ ตัสมา สีลัง วิโสธะเย. (รับว่า... สาธุ)
อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
อะพรหมะจะริยา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
วิกาละโภชะนา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
นัจจะคีตะวาทิตะวิสุกะทัสสะนา มาลาคันธะวิเลปะนะทาระณะ มัณฑะนะวิภูสะนัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
อุจจาสะยะนะมะหาสะยะนา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
สัมมะเทวะ อะภิรักขิตุง สะมาทิยามิ.
ข้าพเจ้าสมาทานอุโบสถที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ อันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ
ดังได้สมทานมาแล้วนี้ จะรักษาไว้ให้ดี ไม่ให้ขาด ไม่ให้ทำลาย วันหนึ่ง คืนหนึ่ง ณ เวลานี้
(รับว่า... อามะภันเต)
อิมานิ อัฏฐะ สิกขาปะทานิ สีเลนะ สุคะติง ยันติ. (รับว่า... สาธุ)
สีเลนะ โภคะสัมปทา. (รับว่า... สาธุ)
สีเลนะ นิพพุติงยันติ ตัสมา สีลัง วิโสธะเย. (รับว่า... สาธุ)
สัพพะทุกขะวินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง
วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา
สัพพะภะยะวินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง
วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา
สัพพะโรคะวินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง
สัทธัมมัง มุนิราชัสสะ สุณันตุ สัคคะโมกขะทังฯ
สัคเค กาเม จะ รูเป คิริสิขะระตะเฏ จันตะลิกเข วิมาเน
ทีเป รัฏเฐ จะ คาเม ตะรุวะนะคะหะเน เคหะวัตถุมหิ เขตเต
ภุมมา จายันตุ เทวา ชะละถะละวิสะเม ยักขะคันธัพพะนาคา
ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา
ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา
ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา
สรรเสริญพระพุทธเจ้า (พระสวดนำ) (ผู้ร่วมรับ)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ.
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ.
สาธุ โน ภันเต,ภิกขุสังโฆ,อิมานิ,ภัตตานิ,สะปะริวารานิ,ปะฏิคคันหาตุ,อัมหากัง,
ทีฆะรัตตัง,หิตายะ,สุขายะ.
(ในหัตถบาสใช้ อิมานิ นอกหัตถบาสใช้ เอตานิ)
แด่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับภัตตาหารกับทั้งบริวารเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย
เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนาน เทอญฯ
(พระทุกรูปรับสาธุพร้อมกัน)
คำอปโลกน์สังฆทาน (พระสวด)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ยัคเฆ ภันเต สังโฆ ชานาตุ ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ขอพระสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า
ภัตตาหารพร้อมทั้งของบริวาร ที่สมควรแจกกันได้นี้ ทายกทายิกาผู้มีจิตศรัทธา
น้อมนำมาถวายเป็นสังฆทานแด่สงฆ์ อันว่าสังฆทานนี้ย่อมมีอานิสงส์อันยิ่งใหญ่
ซึ่งสมเด็จพระพุทธองค์ มิได้เจาะจงแก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง เพราะเป็นของให้แก่สงฆ์
ทั่งสังฆมณฑล พระพุทธองค์ตรัสว่าให้แจกกันตามบรรดาที่มาถึง
บัดนี้ข้าพเจ้าฯ สมมุติตนเองเป็นผู้แจกภัตตาหารและของบริวารของสงฆ์
พระสงฆ์ทั้งหลายเห็นสมควรหรือไม่สมควร ถ้าเห็นว่าเป็นการไม่สมควรแล้วไซร์
ขอจงทักท้วงขึ้นในท่ามกลางสงฆ์อย่าได้เกรงใจ ถ้าเห็นว่าเป็นการสมควรแล้ว
ก็จงเป็นผู้นิ่งอยู่ ( นิ่งอยู่ ) บัดนี้พระสงฆ์ทั้งหลายเป็นผู้นิ่งอยู่ ข้าพเจ้าจักรู้ได้ว่าเป็น
การเห็นสมควรแล้ว จะได้ทำการแจกของสงฆ์ต่อไป ณ กาลบัดนี้
ย่อมถึงแก่ข้าพเจ้า ถึงพระลำดับต่อๆไปตามบรรดาที่มาถึงพร้อมกันทุกๆ รูป
จนถึงทายกทายิกา และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอให้พระสงฆ์ทั้งหลาย
จงให้สัททะสัญญาสาธุการขึ้นพร้อมกัน ณ.กาลบัดนี้เทอญ
อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ เตสัง วูปะสะโม สุโขฯ
ฉุฑโฑ อะเปตะวิญญาโณ นิรัตถังวะ กะลิงคะรังฯ
เป็นมูลค่า.............................บาท กัปปิยภัณฑ์จำนวนนี้ จะมอบไว้กับไวยาวัจกรผู้ปฏิบัติพระคุณเจ้า
เมื่อพระคุณเจ้าประสงค์สิ่งหนึ่งสิ่งใด ในปัจจัย๔ อันสมควรแก่สมณบริโภค
ขอได้โปรดเรียกร้องเอาจากไวยาวัจกร ตามที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ปวารณามาแล้วนี้เทอญ.
สัพพี.....แบ่งบุญให้คนเป็น
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ.(กราบ)
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ.(กราบ)