Friday, October 12, 2007

ระวังสังฆทานให้บาป

อยากทำบุญกับพระอรหันต์จะทำอย่างไร

จากที่ได้ศึกษาธรรมะจากพระไตรปิฎก และได้พบธรรมะเรื่องหนึ่งในพระสูตร มีใจความว่า ในสมัยพุทธกาล มีอุบาสกคนหนึ่งอยากจะทำบุญกับพระอรหันต์ แต่ไม่สามารถรู้ว่าพระองค์ไหนเป็นพระอรหันต์จึงเกิดความสงสัย จึงเข้าไปหาพระพุทธเจ้าเพื่อสอบถาม พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่อุบาสกผู้นั้นว่า “การที่เราจะรู้ว่าพระองค์ไหนเป็น พระอรหันต์นั้น เราจะต้องอยู่ใกล้ชิดท่าน และก็ฟังธรรมะจากท่านบ่อยๆ เราก็จะสามารถรู้ได้ แต่ถ้าเราไม่มีเวลาใกล้ชิด และไม่มีเวลาฟังธรรม แต่อยากทำบุญแล้วให้ได้ผลบุญมากเทียบเท่ากับพระอรหันต์ ถ้าอย่างนั้นต้องไปทำ สังฆทาน “

การทำบุญสังฆทาน

ในปัจจุบันนี้ การทำบุญสังฆทาน ชาวพุทธเข้าใจผิดมานานกว่า 20 ปี โดยนำของใส่ถังแล้วไปถวายพระ 1 รูปบ้าง, 2 รูปบ้าง ซึ่งถือว่าเป็นการทำบุญสังฆทานที่ผิด ได้บุญต่ำ บางครั้งแทบจะไม่ได้บุญเลย และแถมยังได้บาปอีกด้วย ถ้าเราถวายเงินแล้วพระรับกับมือหรือครอบครองเงินนั้นไว้กับตัวเพราะเราไปทำให้พระต้องอาบัดผิดศีล ถ้ายิ่งไปถวายสังฆทานตอนหลังเที่ยงยิ่งบาปหนักเข้าไปอีก

เพราะฉะนั้น การทำบุญสังฆทานที่แท้จริง คือ การทำบุญสูงสุดด้านอาหาร

โดยมีวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องดังนี้

1. ต้องเป็นอาหารที่พระฉันได้ในเวลานั้น และต้องถวายก่อนเที่ยง ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับ การที่เราถวายภัตตาหารเพลพระนั่นเอง (ส่วนของที่เป็นถังๆ หรือของอย่างอื่น เป็นได้แค่เพียงบริวารสังฆทานเท่านั้น)

2. ต้องกล่าวคำถวายสังฆทาน ดังนี้

อิมานิ มะยัง ภันเต ภัตตานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุ โณ ภันเตภิกขุสังโฆ อิมานิ ภัตตานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะฯ (ในหัตถบาสใช้ อิมานิ นอกหัตถบาสใช้ เอตานิ )

หมายเหตุ ในคำกล่าวถวายนั้น ถ้าไม่มีคำว่า ภิกขุสังฆัสสะ ถือว่าการถวายนั้นไม่ไช่ การถวายสังฆทาน

3.พระตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไปจึงจะรับสังฆทานได้ (พระ 4 รูป เรียกว่า ครบสงฆ์) เพราะคำว่าสังฆทานนั้นแปลว่า เป็นทานที่ถวายแด่สงฆ์ เป็นบุญสูงสุดด้านอาหาร ฉะนั้นพระ 1 รูป, 2 รูป, 3 รูป ไม่สามารถรับสังฆทานได้ เป็นบาป และถือว่าหลอกลวง เพราะไม่ไช่สงฆ์ เป็นแค่เพียงบุคคลเท่านั้น ต่อเมื่อพระครบ 4 รูปจึงถือว่าเป็นสงฆ์ เว้นเสียแต่เป็นพระอรหันต์ 1 องค์ ก็สามารถรับสังฆทานได้ เพราะพระอรหันต์ 1 องค์ถือว่าเป็นสงฆ์ ซึ่งชาวพุทธทั่วไปยังไม่เข้าใจว่า พระสงฆ์ แตกต่างจาก สมมุติสงฆ์ อย่างไร และทำไมถึงเรียกว่า 1รูปบ้าง 1องค์บ้าง ขอให้ไปดูในรายละเอียด เรื่องไฟนรก 7 กอง เพื่อความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง

4.จะต้องทำการ อปโลกน์สังฆทาน หลังจากที่พระรับสังฆทานแล้ว พระรูปที่ 2 จะต้องทำการ อปโลกน์ (คือ ประชุมสงฆ์ เพื่อทำการแบ่งปันอาหารที่ได้รับถวายมา ตามลำดับจนถึงให้ญาติโยม) แต่ถ้าพระไม่ทำการอปโลกน์ อาหารทุกชิ้นถือเป็นของสงฆ์ทั้งสิ้น ญาติโยมจะไปกินไม่ได้เด็ดขาด ถึงแม้พระบางรูปจะบอกยกให้ก็ตาม ก็กินไม่ได้เพราะถือว่าเป็นบุคคลให้ ไม่ใช่สงฆ์ให้ แม้แต่พระที่เป็นผู้รับสังฆทานเองกับมือก็จะฉันท์ไม่ได้ ถ้าผู้ใดก็ตามขืนไปกินเข้า เมื่อตายไปจะต้องเกิดเป็นเปรตประมาณ 92 กัลป์ (1 กัลป์ คือ 6,420 ล้านปี) แม้แต่สุนัขไปกิน มด แมลงไปกิน ก็ต้องเป็นเปรตเหมือนกัน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก ของชาวพุทธที่ไม่รู้ธรรมะ

คำอปโลกน์สังฆทาน

ยัคเฆ ภันเต สังโฆ ชานาตุ อะยัง ปะฐะมะภาโค มหาเถรัสสะ ปาปุณาติ อะวะเสสา ภาคา อัมหากัง ปาปุณันติ

นี่เพียงแค่เรื่องการทำบุญสังฆทานอย่างเดียว เชื่อว่าชาวพุทธส่วนใหญ่คงยังไม่ทราบ และยังมีอีกเป็นร้อยเรื่องที่ชาวพุทธยังไม่รู้

ญาติของพระเจ้าพิมพิสารกินของสงฆ์ตายไปเป็นเปรต 92 กัลป์

นับถอยหลังจากนี้ไป 92 กัลป์ ในสมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่าพระมหาปุสสะ ได้มีพระราชโอรส 3 พระองค์ พระโอรสทั้งสามได้รับพรจากพระราชบิดาให้มีโอกาสได้ถวายภัตตาหารแด่พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 3 เดือนโดยแบ่งกันคนละเดือน และพระโอรสทั้ง 3 มีสมุห์บัญชี มีขุนคลัง เป็นคนเดียวกัน ซึ่งคนทั้งสองได้รับคำสั่งจากพระโอรสทั้งสาม ให้ดูแลเรื่องการจัดเตรียมอาหารถวายแด่สงฆ์ซึ่งเป็นสังฆทาน ท่านสมุห์บัญชีจึงได้ตามญาติของตัวเองสามคน มาช่วยเป็นคนงานจัดเตรียมอาหารถวายพระ แต่คนงานทั้ง 3 นั้น ได้มีความประมาทและไม่รู้ธรรมะ เมื่อเห็นอาหารที่ตนชอบใจก็ไม่สามารถที่จะอดกลั้นได้ และได้หยิบอาหารที่ถวายแด่สงฆ์กินเป็นประจำ และเมื่อตายไปจึงเกิดเป็นเปรตท่องเที่ยวอยู่ในโลกเปรต ส่วนสมุห์บัญชีของพระโอรสทั้ง 3 นั้น ได้เกิดในการนี้เป็นพระเจ้าพิมพิสาร ส่วนขุนคลังได้เป็นวิสาขอุบาสก ส่วนพระราชโอรสได้เกิดเป็นชฎิล 3 พี่น้อง ส่วนเปรตทั้ง 3 ก็ได้ท่องเที่ยวไปในเปรตโลก จนสิ้น 4 พุทธันดร

พวกเปรตถามเวลาได้อาหารกับพระพุทธเจ้า 3 พระองค์

เปรตเหล่านั้นได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพระนามว่า กกุสันธะ ผู้ทรงพระชนมายุได้สี่หมื่นปี เสด็จอุบัติขึ้นก่อนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในกัลป์นี้ เปรตเหล่านั้นได้ทูลว่า “ขอพระองค์โปรดบอกเวลาที่จะได้อาหารแก่พวกข้าพเจ้าทั้งหลายด้วยเทอญ” พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “พวกท่านจะยังไม่ได้ในกาลของเรา แต่ภายหลังแห่งเรา เมื่อมหาปฐพีงอกสูงขึ้นประมาณได้ 1 โยชน์ พระพุทธเจ้าพระนามว่า โกนาคม จะอุบัติขึ้น ขอให้พวกเจ้าพึงทูลถามพระองค์เถิด”

เปรตเหล่านั้นยังกาลเวลาให้สิ้นไปแล้ว และเมื่อพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โกนาคม ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว จึงได้พากันไปทูลถามพระองค์ พระองค์ได้ตรัสว่า “พวกท่านจะยังไม่ได้ในกาลของเรา แต่ภายหลังแห่งเรา เมื่อมหาปฐพีงอกสูงขึ้นประมาณได้ 1 โยชน์ พระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะจะอุบัติขึ้น พวกเจ้าพึงทูลถามพระองค์เถิด”

เปรตเหล่านั้นยังกาลเวลาให้สิ้นไปแล้ว และเมื่อพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว จึงได้พากันไปทูลถามพระองค์ พระองค์ได้ตรัสว่า “พวกท่านจะยังไม่ได้ในกาลของเรา แต่ภายหลังแห่งเรา เมื่อมหาปฐพีงอกสูงขึ้นประมาณได้ 1 โยชน์ พระพุทธเจ้าพระนามว่า โคดม จะอุบัติขึ้น และในกาลนั้นญาติของพวกเจ้าจะได้เป็นพระราชา พระนามว่า พิมพิสาร และพระเจ้าพิมพิสารนั้นจะถวายทานแด่พระศาสดาแล้ว จะอุทิศส่วนกุศลให้แก่พวกเจ้า พวกเจ้าจะได้อาหารในคราวนั้น”

เมื่อพวกเปรตเหล่านั้นได้ฟังคำที่พระพุทธเจ้า กัสสปะตรัสแล้ว ได้ดีใจปานประหนึ่งว่า 1 พุทธันดร เหมือนกับว่าเป็นวันพรุ่งนี้

พวกเปรตพ้นทุกข์เพราะผลทาน

เมื่อพระพุทธเจ้าโคดมของเราเสด็จอุบัติขึ้นแล้ว และเมื่อพระเจ้าพิมพิสารได้ถวายทานในวันแรก แต่พระองค์ลืมกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล ทำให้เปรตเหล่านั้นได้พบกับความผิดหวังอย่างมาก ตกเวลากลางคืนจึงได้พากันไปร้องโหยหวนที่พระราชวังของพระเจ้าพิมพิสาร จนทำให้พระราชาเกิดความรู้สึกกลัว และรุ่งขึ้นพระราชาได้เสด็จไปหาพระพุทธเจ้าที่เวฬุวันมหาวิหาร และได้กราบทูลแก่พระพุทธเจ้าถึงเรื่องเสียงร้องที่น่ากลัว พระศาสดาได้ตรัสว่า “มหาบพิตร ถอยหลังจากนี้ไป 92 กัลป์ ซึ่งเป็นในสมัยแห่งพระพุทธเจ้า พระนามว่า ปุสสะ พวกเปรตเหล่านั้นได้เป็นพระญาติของพระองค์ และได้กินอาหารที่เขาถวายแด่สงฆ์ เมื่อตายแล้วได้เกิดในเปรตโลก ท่องเที่ยวอยู่ และได้ทูลถามพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ที่เสด็จอุบัติขึ้น มีพระพุทธเจ้า กกุสันธะ เป็นอาทิ อันพระพุทธเจ้าเหล่านั้น ได้ตรัสบอกกับเปรตทั้งหลาย และเปรตทั้งหลายได้หวังในทานของพระองค์มาโดยตลอด 92 กัลป์ และเมื่อวานนี้ พระองค์ถวายทานแล้วไม่ได้อุทิศส่วนกุศล จึงทำให้พวกเปรตได้รับความผิดหวัง และได้ร้องโหยหวน ดั่งที่พระองค์ได้ยิน ” พระราชาทูลถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าหม่อมฉันถวายทานแม้ในบัดนี้ เปรตเหล่านั้นจะได้รับหรือไม่” พระศาสดาตรัสว่า “ได้รับ มหาบพิตร” พระราชาทรงนิมนต์ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข และได้ถวายมหาทานในวันรุ่งขึ้นแล้ว ได้พระราชทานส่วนบุญว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอข้าวน้ำอันเป็นทิพย์ จงสำเร็จแก่พวกเปรตเหล่านั้น ด้วยมหาทานนี้” และข้าวน้ำอันเป็นทิพย์ได้เกิดแก่เปรตเหล่านั้นทันที และในวันรุ่งขึ้น เปรตเหล่านั้นได้เปลือยกายแสดงตนแก่พระราชา พระราชาทูลถามแก่พระพุทธเจ้าว่า “วันนี้พวกเปรตได้เปลือยกายแสดงตนแก่ข้าพเจ้า” พระศาสดาตรัสว่า “มหาบพิตร พระองค์มิได้ถวายผ้า”

และในวันรุ่งขึ้น พระราชาได้ถวายผ้าจีวรทั้งหลายแก่ภิกษุสงฆ์ โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขแล้ว ทรงพระราชทานส่วนบุญว่า “ขอผ้าอันเป็นทิพย์ทั้งหลาย จงสำเร็จแก่เปรตนั้น ด้วยจีวรทานนี้ด้วยเถิด” ในขณะนั้นเอง ผ้าทิพย์ได้เกิดแก่เปรตเหล่านั้นแล้ว เปรตเหล่านั้นได้พ้นจากอัตภาพของเปรต และได้ดำรงอยู่โดยอัตภาพอันเป็นทิพย์ พระศาสดาได้ทรงทำอนุโมทนา และในครั้งนั้นการบรรลุธรรมได้เกิดแก่สัตว์ 84,000 แล้วดังนี้

ภิกษุผู้ไม่รู้ในธรรมะ

บริเวณเจติยบรรพต มีวิหารอันเป็นที่อยู่แห่งพระภิกษุในพระพุทธศาสนาแห่งหนึ่ง ปรากฏว่ามีพระภิกษุทั้งหลายจำพรรษาอยู่เป็นจำนวนมาก พุทธบริษัททั้งปวงมีความเป็นห่วงพระสงฆ์ต่างพากันนำเอาสิ่งของเครื่องใช้มียา และข้าวสารมาถวายไว้เป็นสังฆทานคือ การถวายเป็นของสงฆ์มากมายทุกๆปี พระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งเป็นผู้ที่ไม่รู้ธรรมะมากนัก ซึ่งเดินทางมาจากชนบทได้เข้าไปจำพรรษาอยู่ร่วมกับพระภิกษุทั้งหลายในพรรษาเวลาล่วงไปปีหนึ่ง

ครั้นออกพรรษาปวารณาแล้ว ท่านตั้งใจจะเดินทางไปเยี่ยมโยมบิดาที่บ้านเกิดเมืองนอน ก่อนที่จะไป ท่านคิดจะได้ของฝากบิดา จึงเอาผ้าห่อข้าวสารซึ่งเขาถวายไว้เป็นของสงฆ์เป็นจำนวนครึ่งทะนาน แล้วก็ออกเดินทางไป ด้วยความกระหยิ่มใจอยู่ตลอดทางว่า เมื่อบิดาได้รับของฝากเป็นข้าวสารครึ่งทะนานที่ตนเองนำไปให้ คงจักดีใจเป็นนักหนา เพราะบิดากำลังประสบความลำบากยากจน โดยหารู้ไม่เลยว่าตนกำลังทำบาปโดยไม่รู้ตัว ทั้งนี้เพราะข้าวสารครึ่งทะนานนั้นเป็นพระสงฆ์ หาใช่เป็นของตนไม่ แม้ตนจะดำรงเพศเป็นพระภิกษุจำพรรษาในวิหารก็ตามที

เป็นที่น่าสังเวชใจนักด้วยว่า เมื่อพระภิกษุหนุ่มผู้มีความกตัญญูรู้คุณบิดารูปนั้นเดินทางมาได้ครึ่งทางก็ค่ำมืด เธอจึงแวะเข้าไปในวิหารใกล้ทางแล้วขอพักค้างคืน ตั้งใจว่ารุ่งเช้าจึงจะเดินทางต่อไป แต่ว่าความตายเป็นสิ่งโหดร้าย ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ว่าความตายจักเข้ามาทำร้ายล้างผลาญชีวิตในขณะใด ดูแต่ภิกษุผู้อุตส่าห์นำเอาข้าวสารมา ตั้งใจว่าจักเอาไปให้บิดานี้เถิด แม้แต่ตัวท่านเองก็นึกไม่ถึงว่าตนจักต้องมาอายุสั้น แต่ท่านก็ต้องพลันตายลงไปในคืนนั้นเอง สาเหตุที่มรณะก็คือโรคลมปัจจุบัน

ในคราวที่ท่านมรณะนั้น กรรมที่เกิดจากการที่ท่าน ได้นำเอาข้าวสารกึ่งทะนานอันเป็นของสงฆ์ในเจติยบรรพตวิหาร โดยหวังว่าจะเอาไปฝากบิดาผู้ยากจน แต่ว่ายังไปไม่ถึงมือของบิดาตามที่ตั้งใจไว้นั่น ก็พลันต้องมาตายเสียก่อน จึงต้องไปเกิดในเปตติวิสัยภูมิ เป็นเปรตมีรูปร่างแสนทุเรศสูงชะลูด มีสภาวะน่าสะพรึงกลัวและน่าเกลียดน่าชัง มีกลิ่นเหม็นสาบเหม็นสาง ผอมโซเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกมีไฟลุกแดงไหม้ร่างกายอยู่ แต่ร่างกายจะได้แตกพังทลายไปก็หามิได้เที่ยวเดินโงนเงนโซซัดโซเซ อยู่ระหว่างภูเขาเจติยบรรพตนั้น ด้วยความเศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้ง

จึงนับว่าเป็นความคิดผิดอย่างถนัด ในการที่เธอมีความประมาทหลงดีใจว่าได้ของไปฝากบิดา หารู้ไม่ว่าเป็นบาปกรรมซึ่งสามารถชักนำให้ตนมาบังเกิดเป็นเปรต ได้เสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส

ดั่งที่ได้ยกตัวอย่างกรรมของบุคคลที่มีความประมาท ซึ่งไม่รู้ในธรรมะที่สำคัญ จากพระสูตรที่อยู่ในพระไตรปิฎกมาเล่าให้ทุกท่านได้ฟังนั้น ก็เพื่อให้ทุกท่านได้เห็นถึงความสำคัญ และได้ตระหนักว่า ความไม่รู้นั้นเป็นความโหดร้ายอย่างมาก และเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ที่ไม่รู้ จะต้องได้รับความทุกทรมานอย่างแสนสาหัสอย่างที่ตนคาดไม่ถึงมาก่อน



คิดในใจด้วยความเมตตา

ซึ่งผมได้มองไปที่สังคมของชาวพุทธเรา และได้เห็นถึงความเสื่อมของคนในสังคม ซึ่งไม่รู้จักศีลรู้จักธรรมอะไรเลย จึงคิดในใจด้วยความเมตตาว่า “ถ้าเขาเกิดมาเป็นชาวพุทธ แล้วไม่รู้ธรรมะอะไรเลย สู้เขาไปเกิดในศาสนาอื่นจะดีกว่า เพราะจะได้รับบาปน้อยกว่า” หลายท่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมผมถึงคิดแบบนี้ เกิดในศาสนาพุทธแล้วมันเป็นอย่างไร และทำไมศาสนาอื่นจึงบาปน้อยกว่า ก็จะต้องขออธิบายดังนี้ว่า ศาสนาอื่นนั้นเมื่อทำบาปก็จะได้รับกรรมน้อยกว่า เพราะนักบวชในศาสนาอื่นนั้น ศีลอย่างมากก็จะไม่เกินศีล 8 เมื่อมีการกระทำบาปเกิดขึ้นผลบาปที่จะต้องได้รับก็ประมาณ10,000 เท่าหรือ 100,000 เท่า ซึ่งเป็นไปตามกำลังของผู้ที่มีศีลนั่นเอง ซึ่งถ้าไปทำบุญกับนักบวชในศาสนาอื่น ก็จะได้บุญไม่มากเท่ากับทำบุญในศาสนาพุทธอย่างแน่นอน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับศีลของนักบวชอีกเช่นกัน

แต่เมื่อเกิดในศาสนาพุทธ แล้วไม่รู้ธรรมะอะไรเลย โอกาสที่จะได้รับบาปหนักนั้นมีมากเหลือเกิน ซึ่งผมจะขอยกตัวอย่างดังนี้

เกาะชายผ้าเหลืองลูกลงนรก

พ่อแม่หลายคน ไม่รู้จักธรรมะ และไม่เคยศึกษาธรรมะใดๆทั้งสิ้น แต่เมื่อมาเกิดในศาสนาพุทธก็จะต้องมีประเพณีบวชลูก และพ่อแม่ก็มีความคิดว่า เมื่อลูกบวชตัวเองก็จะได้บุญ เปรียบเสมือนเกาะชายผ้าเหลืองลูกขึ้นสวรรค์ ซึ่งเป็นคำพูดที่ได้ยินกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ แต่ในความเป็นจริงแล้วลูกไม่เคยศึกษาธรรมะเลย ทั้งพระธรรมวินัย และสิกขาบท 227ข้อก็ยังไม่ได้ศึกษาอย่างลึกซึ้ง เน้นแต่เพียงท่องขานนาคให้ได้เป็นใช้ได้ ที่เหลือเมื่อบวชเข้าไปแล้วก็ให้พระที่บวชก่อนสอนกันเองก็แล้วกัน ซึ่งพ่อแม่จะมั่นใจได้อย่างไรว่าพระบวชก่อนจะรู้ธรรมะอย่างลึกซึ้งละเอียดละออ เมื่อบวชแล้วจึงทำให้ ดูหนัง ฟังเพลง ฉันอาหารหลังเที่ยง เด็ดใบไม้ รับเงินจากชาวบ้าน และฉันของสงฆ์วันแล้ววันเล่าโดยไม่รู้ตัว ซึ่งล้วนแต่ผิดศีลเป็นบาปทั้งสิ้น และบาปของพระนั้นมากกว่าคนธรรมดาหลายล้านเท่านัก จึงกลายเป็นว่า พ่อแม่ได้ผลักลูกลงนรกอย่างไม่รู้ตัว และเมื่อเห็นจีวรลูกไหวๆอยู่ จึงรีบคว้าไว้แล้วก็ตามลูกลงนรกโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัวเลย



กินของสงฆ์เพราะไม่รู้ธรรมะและไม่มีใครบอก

และเมื่อท่านอยู่ในศาสนาพุทธ ท่านก็จะมีโอกาสที่จะได้กินของสงฆ์หลังจากที่ท่านได้ถวายสังฆทานอย่างถูกต้อง เพราะมีพระตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไปเป็นองค์รับสังฆทาน แต่ปรากฏว่าท่านโชคร้าย เพราะท่านไปนิมนต์พระที่ไม่รู้ธรรมะมารับสังฆทาน จึงไม่มีการ อปโลกน์สังฆทาน เพราะฉะนั้นของที่ถวายทั้งหมดจึงเป็นของสงฆ์ อย่าว่าแต่คนธรรมดาไปกินเลย แม้กระทั้งพระที่เป็นคนรับสังฆทานเองกับมือ ไปกินเข้าก็จะต้อง ตายแล้วเกิดเป็นเปรตทั้งสิ้น ซึ่งผมถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายมากสำหรับชาวพุทธที่ไม่รู้ธรรมะ แต่ถ้าท่านอยู่ในศาสนาอื่นโอกาสที่จะกินของสงฆ์ก็แทบที่จะไม่มี หรืออาจจะไม่มีเลยก็เป็นได้

แต่ถ้าท่าน เกิดเป็นพุทธ และยังเป็นผู้ที่รู้ธรรมะอีกด้วย ท่านก็จะเป็นผู้ที่มีวาสนามาก ได้รู้วิธีทำบุญ ตั้งแต่บุญขั้นต่ำ บุญขั้นกลาง และบุญขั้นสูง และก็ยังรู้อีกว่าอะไรเป็นบุญ อะไรเป็นบาป อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ และการที่ได้รู้ธรรมะนี้ ยังทำให้ท่านได้พบกับความสุขความเจริญ ทั้งในชาตินี้ และในชาติต่อๆไปอีกด้วย

ที่มา หนังสือความสำเร็จที่มาจากพระพุทธเจ้า อ.ศิริพงษ์ อัครศรียุกต์

No comments: