Wednesday, April 9, 2008

อานิสงค์ของการสร้างพระเจดีย์ทรายและบูชา

ในสมัยก่อนที่พระพุทธเจ้าจะลงมาอุบัติ มีดาบสท่านหนึ่งชื่อว่า เทวละ เป็นดาบสที่มีฤทธิ์สามารถระลึกชาติได้ จึงรู้ว่าในอดีตชาตินั้นมีพระพุทธเจ้ามามากมายแล้ว และพระพุทธเจ้านั้นยิ่งใหญ่เหลือเกินและตอนนี้พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้วเราจะทำอย่างไรดี ถึงจะได้บูชาพระพุทธเจ้า จึงได้ ออกจากอาศรมไป ครั้งนั้น ศิษย์ ๘๔,๐๐๐คนอุปัฏฐาก ดาบสจึงไปที่ริมหาดทรายได้ก่อพระเจดีย์ทรายแล้ว ตบแต่งอย่างสวยงามแล้ว รวบรวมเอาดอกไม้นานาชนิดมาบูชาพระเจดีย์นั้น เรายังจิตให้เลื่อมใสในองค์พระสัมาสัมพุทธเจ้านั้น และได้เห็นว่าพระเจดีย์ทรายนั้นเป็นองค์แทนของพระพุทธเจ้าในกาลก่อน หลังจากนั้น พวกศิษย์ได้มาประชุมพร้อมกันทุกคนแล้ว ถามถึงข้อความนี้ว่าข้าแต่ท่านผู้ประเสริฐ สถูปที่ท่านนมัสการก่อด้วยทรายแม้ข้าพเจ้าทั้งหลายก็อยากจะรู้ ว่าท่านอาจารย์บูชากองทรายทำไม

ดาบสตอบว่า เราไม่ได้บูชากองทรายแต่เราบูชาพระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้มีพระจักษุมียศใหญ่ ท่านทั้งหลายได้พบแล้ว ในบทเรียนของเรามิใช่หรือ เรานมัสการพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด มียศใหญ่เหล่านั้น ศิษย์เหล่านั้นได้ถามอีกว่า พระพุทธเจ้าผู้มีความเพียรใหญ่ รู้ธรรมทั้งปวง ทรงเป็นผู้นำโลกเหล่านั้น เป็นเช่นไร มีคุณเป็นอย่างไรมีศีลเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าผู้มียศใหญ่เหล่านั้น มีศีลเป็นอย่างไรนั้น เราได้ตอบว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายมีพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ มีพระทนต์ครบ ๔๐ ทัศ มีดวงพระเนตรดังตาแห่งโค และเหมือนผลมะกล่ำ อนึ่ง พระพุทธเจ้าเหล่านั้น เมื่อเสด็จดำเนิน ไป ก็ย่อมทอดพระเนตรดูเพียงชั่วอก พระชานุของพระองค์ไม่ลั่น ใคร ๆ ไม่ได้ยินเสียงที่ต่อ อนึ่งพระสุคตทั้งหลาย เมื่อเสด็จดำเนินไป ย่อมไม่รีบร้อนดำเนินไป ทรงก้าวพระบาทเบื้องขวาก่อน นี้เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย และพระพุทธเจ้าเหล่านั้น เป็นผู้ไม่หวาดกลัว เปรียบเหมือนไกรสร มฤคราช ฉะนั้น พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ไม่ทรงยกพระองค์ และไม่ทรงข่มขี่สัตว์ทั้งหลาย ทรงหลุดพ้นจากการตัว และดูหมิ่น ทรงเป็นผู้มีพระองค์เสมอ ในสัตว์ทั้งปวง พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นผู้ไม่ทรงยก พระองค์ นี้เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้งหลายและพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย เมื่อเสด็จอุบัติขึ้นพระองค์ทรงแสดงแสงสว่าง ทรงประกาศวิการ ๖ ทั่วพื้นแผ่นดินนี้ทั้งสั้น ทั้งพระองค์ทรงเห็นนรกด้วยครั้งนั้นไฟนรกดับ มหาเมฆยังฝนให้ตก นี้เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระพุทธเจ้าผู้มหานาถะเหล่านั้นเป็นเช่นนี้ พระพุทธเจ้าผู้มียศใหญ่เหล่านั้นไม่มีใครเทียบเท่า พระตถาคตทั้งหลาย เป็นผู้มีพระคุณหาประมาณมิได้ ใคร ๆ ไม่เกินพระองค์โดย เกียรติคุณ.ศิษย์ทุกคนเป็นผู้มีความเคารพ ชื่นชมถ้อยคำของเรา ต่างได้ปฏิบัติเช่นนั้น ตามสติกำลัง พวกเขามีความเพลิดเพลินในกรรมของตนชื่อฟังถ้อยคำของเรามีฉันทะอัธยาศัย น้อมไปในความเป็นพระพุทธเจ้าพากันบูชาพระเจดีย์ทราย ในกาลนั้น เทพบุตรผู้มี ยศใหญ่ จุติจากชั้นดุสิต บังเกิดในพระครรภ์ของพระมารดา หมื่นโลกธาตุหวั่นไหว เรายืนอยู่ในที่จงกรมไม่ไกลอาศรม ศิษย์ทุกคนได้มาประชุมพร้อมกันในสำนักของเรา ถามว่า แผ่นดินบันลือลั่น ดุจโคอุสภะ คำรนดุจมฤคราช ร้องดุจจระเข้ จักมีผลเป็นอย่างไร? เราตอบว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดที่เราประกาศ ณ ที่ใกล้พระสถูป คือ กองทราย บัดนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีโชค เป็นศาสดาพระองค์นั้น เสด็จลงสู่พระครรภ์พระมารดาแล้ว

เราแสดงธรรมแก่พวกศิษย์เหล่านั้นแล้ว กล่าวสดุดีพระมหามุนี ส่งศิษย์ของตนไปแล้ว นั่งขัดสมาธิและกำลังของเราก็สิ้นไป ด้วยความเจ็บไข้อย่างหนักเราระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดพระองค์นั้นทำกาลกิริยา ณ ที่นั้นเอง ครั้งนั้น ศิษย์ทุกคนพร้อมกันทำเชิงตะกอนแล้ว ยกซากศพของเราขึ้นเชิงตะกอนพวกเขาล้อมเชิงตะกอน ประนมอัญชลีเหนือเศียรอันลูกศรคือความโศกครอบงํา พากันมาคร่ำครวญเมื่อศิษย์เหล่านั้น พิไรรำพันอยู่ เราได้ไปใกล้เชิงตะกอน สั่งสอนพวกเขาว่า เราคืออาจารย์ของท่าน

ดูก่อนท่านผู้มีปัญญาดีทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่าได้ เศร้าโศกเลย ท่านทั้งหลายไม่ควรเป็นผู้เกียจคร้านควรพยายามในประโยชน์ของตน ทั้งกลางคืนและ

กลางวัน ท่านทั้งหลายอย่าได้ประมาท ควรทำขณะเวลาให้ถึงเฉพาะ เราพร่ำสอนศิษย์ของตนแล้วกลับไปยังเทวโลก เราได้อยู่ในเทวโลกถึง ๑๘ กัป ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ครั้ง และได้เสวยสมบัติใน เทวโลกเกิน ๕๐๐ ครั้ง ในกัปที่เหลือเราได้ท่องเที่ยวไปอย่างสับสน แต่ก็ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการก่อเจดีย์ทราย ในเดือนที่ดอกโกมุทบาน ต้นไม้เป็นอันมากต่างก็ออกดอกบานฉันใด เราเป็นผู้อันพระศาสดาผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ให้บานแล้วในสมัย ฉันนั้นเหมือนกัน ความเพียรของเรานำธุระน้อยใหญ่ไป นำมาซึ่งธรรมอันเป็นแดนเกษมจากโยคะ เราตัดกิเลสเครื่องผูก ดังช้างตัดเชือกแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะ อยู่ ในกัปที่แสน แต่ภัทรกัปนี้ เราได้สรรเสริญพระพุทธเจ้าใด ด้วยการสรรเสริญนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลยนี้เป็นผลแห่งการสรรเสริญ. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้วฯ ล ฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว

No comments: