Tuesday, August 18, 2009

จะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นพระอรหันต์?

ถาม ผมเห็นว่าการปฏิบัติปัสสนากรรมฐาน ตามแนวทางที่หลวงพ่อสอนมาเป็นเทคนิคที่ดี
เพราะการโยกกายช่วยให้่มีสติ ตื่นตัว ไม่ค่อยง่วง ไม่ค่อยปวด และเพิ่มกำลังของสติ-สมาธิด้วย
นอกจากนี้การใช้โพธิปักขิยธรรมมาเป็นองค์ภาวนาก็เป็นประโยชน์ เพราะช่วยให้เราตรวจสอบองค์ธรรม
แต่ละหมวดว่ามีอยู่ในจิตเราเพียงใด เป็นขั้นเป็นตอนไป และตรงกับหลักธรรมในการปฏิบัติให้ถึงอริยมรรค
ด้วยอย่างไรก็ตามผมมีข้อสงสัยว่า การปฏิบัติวิธีอื่น แต่อยู่ในแนวทางมรรค ๘
จะช่วยให้ถึงมรรคผลนิพพานได้หรือไม่ เพราะเห็นสำนักต่างๆ ที่สอนปฏิบัติ
ล้วนกล่าวว่า วิปัสสนาของตนนำไปสู่มรรคผลนิพพานได้

ตอบ--การปฏิบัติให้ถึงมรรคผลนิพพานนั้นต้องปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘
และโพธิปักขิยธรรมให้ครบถ้วนเท่านั้นทางอื่นไม่มี พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัด
ปัจจุบันอาจารย์ที่คิดลัดไปพระนิพพานมีอยู่มาก เช่นสอนให้ทำแต่จิตว่างโดยไม่ต้องปฏิบัติ
ให้ครบตามองค์มรรค จะถึงพระนิพพานไม่ได้ ถ้าหากไม่รักษาศีลให้สมบูรณ์
ไม่ทำสมาธิหรือทำฌาณให้สมบูรณ์ และไม่มีปัญญาที่จะละกิเลสตัณหาอย่างนี้แล้ว
จิตจะว่างได้อย่างไร และจะไปถึงพระนิพพานได้อย่างไร

นอกจากนี้บางแห่งแม้ปฏิบัติมรรค ๘ แต่ก็ไม่ปฏิบัติให้ครบสมบูรณ์ เอาแต่สติปัฏฐาน ๔ มาใช้
ซึ่งอยู่ในมรรค๘ เหมือนกัน แต่เป็นมรรคองค์ที่ ๗ แล้วจะอาศัยมรรคเพียงองค์เดียวนำไปถึง
นิพพานได้อย่างไร มันขัดแย้งกับบัญญัติของพระพุทธเจ้า

นอกจากนี้กรรมฐานที่ใช้อย่างมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม เอาออก หรือผสมกันเข้าให้ผิดไปจากบัญญัติ
เมื่อเป็นเช่นนี้ปรมันถ์จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ลองไปถามท่านเหล่านั้นดูว่า ธรรมที่ท่านนั้นมาสอนมาปฏิบัตินั้น
ท่านรู้จักว่าขันธ์๕ ดับแล้วหรือยัง รู้ธรรมสัมปยุตไหม เวลาธรรมสัปยุตลงนั้นเป็นอย่างไร
แล้วรู้จักการละสังโยชน์ ๓ สังโยชน์ ๕ สังโยชน์ ๑๐ ไหม ถ้าไม่รู้แล้วจะถึงนิพพานได้อย่างไร
จะเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ ถ้าไม่สามารถละสังโยชน์ ๑๐ ได้ ทุกวันนี้ที่รู้กันรู้แต่สัญญา
ไม่ได้รู้จาการปฏิบัติ การจะรู้ธรรมว่าของใครถูกผิดรู้จาก ปริยัติ ปฏิบัติ และ ปฏิเวธ
คืออาจารย์ผู้สั่งสอนเป็นอริยแล้วหรือยัง พระอริยนั้นมีตั้งแต่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี
และพระอรหันต์ (การเป็นนั้นไม่ใช่ศิษย์ หรือสื่อมวลชนตั้งให้) พระอริยบุึคคลต้องรู้และละสังโยชน์ ๓,๕ และ ๑๐
ได้ตามลำดับ ด้วยญาณของตนเองจากธรรมสัปยุตลง เรียก อาสวักขยญาณ จึงจะถูก
ต้องการเป็นอาจารย์กันมาก จึงระดมสรรพกำลังกันจัดตั้งและจัดทำอะไรให้มันแปลกๆ โฆษณามากๆ
จึงได้มีพระอรหันต์เกิดขึ้นมากมาย กระทั้งพระพุทธซ้อนพระพุทธเจ้าก็กำลังจะเกิดขึ้น
และบางสำนักกำลังรณรงค์จะให้พระนิพพานมีอัตตาให้จงได้ พระเถระผู้ใหญ่ไม่รู้ว่าท่านยังอยู่กัน
พร้อมหรือเปล่า ไม่คิดจะปกป้องภัยอันใหญ่นี้บ้างหรือ?
***************************************************
พระครูภาวนาภิรมย์
พระอาจารย์สรวง ปริสุทฺโธ
วัดถ้ำขวัญเมือง จ.ชุมพร

****************************************************************

และในพระอริยเจ้าชั้นพระอนาคามีขึ้นไปจะไม่มีคำพูดสัมผัปปลาปะ คือคำพูดเหลวไหล
โดยปกติมนุษย์ปุถุชนมักมีคำพูดเล่นกันอยู่เสมอ เพื่อสนุก รื่นเริง เพื่อหัวเราะเฮฮา
การยิ้มการหัวเราะนั้นพระอริยเจ้าถือว่าเป็นกระแสของราคะ คือคนที่ยังมีราคะอยู่เท่านั้น
จึงยิ้มและหัวเราะ ส่วนพระอริยเจ้าชั้นพระอรหันต์หรืออนาคามีขึ้นไปซึ่งตัดกระแสราคะได้แล้ว
ย่อมไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะอย่างคนธรรมดา เมื่อมีปิติปราโมทย์ในธรรม ก็เพียงแต่แย้มน้อยๆ

และพระอรหันต์แม้ฟ้าผ่าก็ไม่สะดุ้งตกใจกลัวด้วย เพราะความสะดุ้งตกใจก็คือการกลัวตายนั้นเอง

No comments: