Monday, September 14, 2009

"การอนุโมทนาบุญกับการอนุโมทนาบาป มีอานิสงส์ต่างกันอย่างไร "

หลวงพ่อตอบปัญหา
พระภาวนาวิริยคุณ

หลวงพ่อเจ้าคะ คนที่ชอบอนุโมทนาบุญกับคนที่ชอบอนุโมทนาบาป จะมีผลอย่างไร?



ถ้าตอบแบบย่อๆ อนุโมทนาบุญก็ได้บุญ อนุโมทนาบาปก็ได้บาป แต่เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า อนุโมทนาคืออะไร ?

อนุโมทนา แปลว่า ดีใจด้วย ยินดีด้วย เห็นชอบด้วย หรือว่าสนับสนุน

เพราะฉะนั้น การอนุโมทนาบุญ คือ ดีใจด้วยกับการที่คนอื่นทำความดี

เช่น พอเห็นใคร ทำความดี เราก็ไปอนุโมทนาบุญด้วย ดีใจด้วย ซึ่งจะเป็นทั้งความชื่นใจ ที่เกิดกับตัวเราเอง แล้วก็เป็นการให้กำลังใจกับคนที่ทำความดี ให้เขามีกำลังใจที่จะทำความดียิ่งๆ ขึ้นไป

ส่วนการอนุโมทนาบาป คือ ดีใจด้วยกับการที่คนอื่นทำความชั่ว พอเห็นใครทำความชั่ว " แหม ดีเหลือเกิน"

เช่น เวลาเห็นคนที่เราไม่ค่อยรัก ไม่ค่อยชอบหน้าสักเท่าไหร่ ถูกรังแก เราก็ดีใจ ไปสมน้ำ หน้าเขา นั่นเป็นการอนุโมทนาบาป เต็มที่เลย ก็จะมีผลทำให้เราพลอยได้บาปไปด้วยเพราะถึง เขาไม่ค่อยจะถูกกับเรา ก็เป็นคนละเรื่องกัน

ยิ่งกว่านั้น ในกรณีที่เห็นใครได้รับความเดือดร้อน ได้รับความทุกข์ยาก แม้ว่าเขาจะเป็น คนชั่ว เป็นคนไม่ดี ก็อย่าไปโมทนากับเขา

ยกตัวอย่าง พ่อค้ายาเสพติด ซึ่งเป็นคนชั่วอย่างแน่นอน โดยกฎหมายมีโทษว่าต้อง ประหาร ชีวิต เพราะทำความเดือดร้อนให้กับคนอื่นมามากมายเหลือเกิน ขืนปล่อยให้มีชีวิตอยู่ต่อไป เดี๋ยวจะมี คนติดยาเสพติดของเขา จนต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนกันทั่วบ้านทั่วเมือง

พอมีข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ว่า พ่อค้ายาเสพติดผู้นี้ถูกศาลตัดสินให้ประหารชีวิต ด้วยวิธียิง เป้าเท่านั้น คนสาธุกันลั่นเมืองทีเดียวโดยหารู้ไม่ว่า ได้อนุโมทนาบาปเข้าไปแล้ว เพราะไป ยินดีต่อ การที่ จะต้องฆ่าคน ยินดีต่อการที่จะมีคนถูกฆ่า แม้ทางโลกอาจจะมองว่า ในเมื่อเขาทำ ความชั่วมาเยอะ ก็สมควรแล้วที่จะต้องถูกฆ่าให้ตาย

แต่ทางธรรม เมื่อเกิดมีการฆ่ากันขึ้นมา เราจะไม่พูดในแง่ของกฎหมาย แต่เราจะพูดในแง่กฎของวัฏฏสงสาร คือ ในเมื่อเราก็ไม่ได้เป็นผู้ที่สร้างชีวิต ไม่ได้เนรมิตชีวิตใครขึ้นมา เพราะฉะนั้น ใครๆ ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปฆ่าใคร ถ้าไปฆ่าใครเข้า บาปก็เกิดแก่ผู้ฆ่าทันที

แล้วถ้าหากไปอนุโมทนาต่อการฆ่านั้น เราก็จะพลอยได้บาปไปด้วย เพราะทันทีที่เห็น ดีเห็นงาม ต่อการทำบาป ใจของเราก็จะขุ่นมัว ซึ่งพวกเราก็คงจำกันได้ดีว่า เมื่อใจขุ่นมัว ไม่ผ่องใส ถ้าตายขณะนั้น ย่อมมีทุคติเป็นที่ไป

ยังไม่พอ ตัวของเรายังได้เพาะเชื้อแห่งการขาดความเมตตากรุณาตามเขาไปด้วย เพราะว่า เจ้าคนที่ถูกประหารชีวิต เขามีเชื้อแห่งการขาดความเมตตากรุณาต่อเพื่อนร่วมโลกอยู่ในตัว เขาจึงค้ายา เสพติด วันนี้เขาถูกฆ่าตาย แล้วเราก็ดีใจ โดยหารู้ไม่ว่าเราก็กำลัง เพาะเชื้อแห่งการ ขาด ความเมตตา กรุณาต่อสัตวโลกเช่นกัน



เพราะฉะนั้น จึงฟ้องว่าจะชาตินี้ หรือชาติไหนก็ตาม เราก็พร้อมที่จะทำบาปคล้ายๆ กับเขานั่นแหละ ยิ่งไปกว่านั้น เรายังได้เพาะนิสัยจับแง่คิดไม่เป็นขึ้นมาอีกด้วย เพราะการที่ใครคนใด คนหนึ่ง ไปทำเรื่องร้ายๆ จนกระทั่งต้องถูกประหารชีวิต ถามว่าทำไมเขาถึงเป็นอย่างนั้น ?

ความจริงไม่ใช่เขาอยากจะเป็นคนเลว เขาเองก็อยากเป็นคนดี แต่เนื่องจากว่าใจของเขา ขุ่นหมองมาตั้งแต่เกิด ทำให้มีสติปัญญาน้อย เลยคิดว่าการที่ไปค้ายาเสพติดอย่างนั้นเป็นการถูกต้องแล้ว

เพราะฉะนั้น การฆ่าเขาให้ตายจึงไม่ใช่วิธีแก้ไขที่ถูกต้อง เพราะตายแล้วเขาก็ยังต้องเกิด ต่อไปอีก ถึงคราวได้กลับมาเกิดใหม่ในโลกมนุษย์ ใจของเขาก็ยังขุ่นเหมือนเดิมนั่นแหละแล้วก็คงจะ ก่อเวร ก่อกรรมเช่นเดียวกับชาตินี้อีก

แต่ถ้าจะให้เขาเลิกก่อเวรก่อกรรม ไม่ไปค้ายาเสพติดอีก ก็มีวิธีเดียว คือ จับเขามาสอน ให้รู้จักบุญ ให้รู้จักบาป เสียตั้งแต่ชาตินี้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับเขาเลย

แก้ไขให้ดีก็ไม่ได้ แถมยังจะเลวเหมือนเดิม เราก็ได้แต่ความสะใจ แล้วก็ได้บาป ติดตัว ไปเท่านั้นเอง

บางครั้งมีการตายหมู่เกิดขึ้น เมื่อท่านผู้มีธรรมไปตรวจดูปรากฏว่า พวกหนึ่งที่ไปตายหมู่ ร่วมกับเขา คือ พวกที่เคยฆ่าคนอื่นเอาไว้

ส่วนอีกพวกหนึ่ง คือ พวกที่ไปอนุโมทนาบาป ไปสนับสนุนให้เกิดการฆ่า ถึงเวลาเลยต้อง มาตายด้วยกัน นี่คือฤทธิ์ของการอนุโมทนาบาป


เพราะฉะนั้น อย่าได้ไปอนุโมทนาบาป กับใครทีเดียว ถ้าได้ข่าวการตัดสิน ประหารชีวิต อย่างมาก ก็ทำใจเพียงแค่รับรู้ว่า เป็นกรรม ของสัตวโลก ใครทำอย่างไร ก็ได้อย่างนั้น ทำใจให้เป็นอุเบกขา อย่างนี้ เชื้อบาปจะได้ ไม่เกิดกับเรา

ตรงกันข้าม ถ้าทราบว่าใครทำบุญ ให้รีบอนุโมทนาบุญกับเขาใจของเราจะ ได้สดชื่นแจ่มใส มีกำลังใจที่จะทำความดีตาม อย่างเขาบ้าง แล้วคนที่เราไปอนุโมทนาบุญด้วยเขาก็จะได้มีกำลังใจที่จะทำ ความดี ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป

ทำกันให้ได้อย่างนี้ เดี๋ยวทั้งเขาและเราคงจะได้ไปสร้างบุญร่วมกันในภายภาคหน้า ต่อไปอีก ไม่ว่าชาตินี้ หรือชาติไหน ก็มีแต่ว่าจะเอาบุญไปต่อบุญ เอาความดีไปต่อความดี อย่างนี้ถึง จะน่าอนุโมทนา

ที่มา
http://www.kalyanamitra.org/u-ni-boon/jun48/p51/c51.htm

No comments: