Wednesday, June 4, 2008

ระลึกนึกถึงความตาย

เรียบเรียงจากพระธรรมเทศนา พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)

กลัวก็ต้องตาย ไม่กลัวก็ต้องตาย ทุกคนล้วนตายหมด และก็เคยตายกันมาแล้วทั้งนั้น

ความตายเป็นสิ่งที่เราจะต้องนำมาคิด คิดถึงความตายวันละนิด จิตแจ่มใส เพราะจะทำให้เราดำเนินชีวิตได้อย่างถูกวัตถุประสงค์ของการเกิดมาเป็นมนุษย์ จะไม่ประมาท จะสั่งสมบุญอยู่ตลอดเวลา


จะไม่คร่ำครวญเมื่อชีวิตลำเค็ญ เพราะรู้ว่า เราจะลำเค็ญอยู่ในโลกมนุษย์ไม่กี่ปี ก็ตายแล้ว โดยเฉพาะอายุขัยเฉลี่ยมนุษย์ในยุคนี้แค่ ๗๕ ปี

เพราะฉะนั้น ลำเค็ญก็ลำเค็ญไม่นาน ยากจนก็ยากจนประเดี๋ยวประด๋าว อย่าไปทุกข์ใจกันเลย สั่งสมบุญกุศลกันไป เราไปเอาดีกันภพเบื้องหน้า ไปศึกษาเรื่องเหตุและผลของการที่เรามาเป็นอยู่ปัจจุบัน ผลที่เราลำเค็ญ ลำบาก อัตคัด เรื่องปัจจัยสี่ เป็นเพราะเราประกอบเหตุไว้ในอดีตคือ ความตระหนี่ หวงแหนเสียดายทรัพย์ ไม่สั่งสมบุญเอาไว้

โดยเฉพาะเราอาจจะเป็นคนเคยรวย รวยมาก มีทรัพย์มาก พอมีทรัพย์มากใครมาชวนทำบุญ เราก็อาจจะมีความคิดว่า เรารวยขึ้นมาเพราะหนึ่งสมองสองมือ ไม่ใช่เพราะอย่างอื่น ทำให้เราเกิดมีมานะทิฏฐิ และประมาทในการดำเนินชีวิต เราก็พยายามจะใช้ทรัพย์นั้นเพื่อแสวงหาทรัพย์และแสวงหาความสุขต่อไป คือเราเข้าใจว่าได้มาด้วยฝีมือ แล้วมีทิฏฐิมานะ ใครจะมาเป็นกัลยาณมิตรชักชวนให้ทำความดี ก็จะถือเนื้อถือตัว ไม่ต้อนรับบ้าง ไม่ยอมรับคำแนะนำบ้าง แม้จะต้อนรับทางกายก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่เราประกอบเหตุเอาไว้ เพราะมีความตระหนี่เราจึง มาลำบากลำเค็ญในชาตินี้ เพราะฉะนั้นลำเค็ญ ประเดี๋ยวประด๋าวก็จะหมดเวลาแล้ว สั่งสมบุญกันไปเถอะนะลูกนะ

ส่วนใครที่ร่ำรวยก็พึงคิดต่อไป รวยแค่ประเดี๋ยวเดียวเช่นกัน จะรวยกี่แสนล้าน ก็รวยประเดี๋ยวเดียว ก็ต้องตาย แล้วจะรวยแค่ไหนก็ตาม มีบ้านกี่พันหลังก็อยู่ได้ทีละหลัง มีเตียงกี่พันเตียงก็นอนได้ทีละเตียง มีห้องกี่พันห้องก็นอนได้ทีละ ห้อง มีรถกี่พันคันก็นั่งได้ทีละคัน มันทีละคันเท่านั้นเอง ที่เหลือก็ต้องเสียค่าบำรุงดูแลรักษากันไป จ่ายกันไป ได้ปลื้มหน่อยที่ว่า เรามีเหนือกว่าคนอื่น หรือเท่าคนอื่นเขา หรือที่คนอื่นเขาไม่มี ก็แค่นั้น แล้วก็ตาย มัวแต่ปลื้มกันอยู่อย่างนี้ หรือสนุกเพลิดเพลิน เพราะเรามีทรัพย์มาก สนุกสนาน เฮฮากันบ้าง หรือเอาทรัพย์ต่อทรัพย์ มัวแต่ทำมาหากินอย่างเดียว ไม่ได้สั่งสมบุญ เพลินกับสเตทเม้นท์ ดูตัวเลข ขึ้นไปหลักสองแสนกว่าล้าน สามแสน สี่แสนล้าน อะไรต่างๆ ปลื้มไม่กี่ทีก็ตายแล้ว

ถ้าไม่สั่งสมบุญเอาไว้ สิ่งที่เราสร้างไว้ตอนที่เรามีบุญอยู่เป็นมนุษย์ ถ้าตายตอนนั้น แล้วมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ ไม่ได้อยู่ที่เดิม สิ่งที่เราเคยสร้างไว้ ไม่ได้อยู่ที่เดิม เหมือนลูกคนขอทานคนหนึ่ง อดีตเป็นเศรษฐี แต่เป็นคนตระหนี่ ไม่สั่งสมบุญ พอตายแล้ว ได้มาเข้าท้องคนขอทาน พออยู่ในครรภ์มารดา ขนาดขอทาน ยังไม่มีใคร มีอารมณ์ให้ คลอดลูกออกมาพาไปขอทานที่ไหน ก็อด ลำบาก จนกระทั่งโตพอช่วยเหลือตัวเองได้ ก็ส่งกะลาให้ลูก ลูกเอ๋ย นี่คืออุปกรณ์ทำมาหากินของลูก ทีนี้พอถือไป ไปที่ไหนเขาก็ไล่ออกมาอีก แล้วแถมหน้าตาก็อัปลักษณ์เหมือนปีศาจคลุกฝุ่นอย่างนั้น แต่เพิ่งตายหยกๆ พอจะมีบุญระลึกชาติได้ เดินผ่านอดีตบ้านเก่าของตัว จำได้ นี่บ้านของเรา นั่นลูกชายเรา แต่ใครจะไปจำได้
เพราะว่าอยู่ในยูนิฟอร์มใหม่ มาในมาดของลูกขอทาน ด้วยร่างกายที่อัปลักษณ์ ประดุจปีศาจคลุกฝุ่นอย่างนั้น ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปใช้ทรัพย์ของตัวในอดีตชาติที่ตัวเคยรวย และสร้างมากับมือ เราจะไปอ้างสิทธิ์ว่า ชาติที่ผ่านมา ฉันเคยอยู่บ้านนี้ สร้างมากับมือ ไม่เชื่อไปดูขุมทรัพย์อะไรต่างๆ อย่างนั้นอย่างนี้สิ ก็ไม่มีใครเชื่อมีแต่จะจับโยนออกจากบ้าน

เพราะฉะนั้น ก็แปลว่า รวยก็รวยไม่กี่ปีในเมืองมนุษย์ จึงควรนำทรัพย์ที่เราหามาได้ เอามาเป็นบุญต่อบุญ สมบัติต่อสมบัติกันดีกว่า มาทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่โลก มาสั่งสมบุญ เพราะบุญจะได้เต็มที่ต่อเมื่อทรัพย์นั้นได้มาด้วยการประกอบสัมมาอาชีวะ การจะประกอบอาชีพ เป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่ว่าอะไรก็ได้ ขอให้ได้ปัจจัยสี่ มาเลี้ยงชีวิต จะไปเบียดเบียนใครก็ได้ อย่าคิดอย่างนั้น เพราะว่ามันมีวิบากกรรมรองรับอยู่ เป็นกฎที่ไม่มีใครจะเอาชนะได้ ทุกคนภายในโลกนี้ แม้แต่พระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก ก็ยังตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม เทวดาเหาะเหินเดินอากาศได้ ก็ยังตกภายใต้กฎแห่งกรรมทั้งสิ้น มนุษย์ยังขาดแคลนความรู้ตรงนี้ มามีความรู้ตรงนี้ต่อเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นมาโปรด จึงเป็นความรู้สากลที่ทุกคนจะต้องศึกษาไว้ เพื่อจะดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง

เพราะฉะนั้น รวยก็ประเดี๋ยวเดียว อย่าชะล่าใจ สั่งสมบุญเอาไว้ให้ดี และบุญจะต้องได้มาจากทรัพย์ที่ประกอบสัมมาอาชีวะ นี่เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาไว้ แม้ทรัพย์น้อย แต่หัวใจเกินร้อย เลื่อมใสในพระรัตนตรัยก็มีบุญใหญ่ได้ ได้บุญใหญ่ ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ได้ นี่เป็นสิ่งที่ต้องศึกษากัน

ขอขอบคุณ วารสารอยู่ในบุญ kalyanamitra.org

No comments: