Saturday, April 4, 2009

ถูกชมคือธรรมดา ถูกด่าก็ไม่เลว

ปุจฉา
ถูกชมคือธรรมดา ถูกด่าก็ไม่เลว


วิสัชนา

ถูกชมคือธรรมดา ถูกด่าก็ไม่เลว

ว.วชิรเมธี

หลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าว จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว กันมาบ้างแล้ว คำกล่าวนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของจิต หรืออีกนัยหนึ่งของความคิดได้เป็นอย่างดีว่า จิตกำหนดวัตถุ หรือกายเป็นไปตามอำนาจของจิต

ผู้รู้ท่านหนึ่งเคยกล่าวถึงความสำคัญของจิต หรือความคิดไว้ว่า

เธอจงระวังความคิด เพราะความคิดจะกลายเป็นการกระทำ

เธอจงระวังการกระทำ เพราะการกระทำจะกลายเป็นนิสัย

เธอจงระวังนิสัย เพราะนิสัยจะกลายเป็นบุคลิก

เธอจงระวังบุคลิก เพราะบุคลิกจะกำหนดชะตากรรมของเธอ

ชีวิต ของเราจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่า เรามีความคิดหรือวิธีคิดอย่างไร ในทางพุทธศาสนานั้น ท่านให้ความสำคัญกับวิธีคิดเป็นอันมาก พระนักปราชญ์ท่านหนึ่งได้ประมวลวิธีคิดในพุทธศาสนาไว้ว่ามีมากกว่า ๑๐ วิธี

วิธีคิดอย่างหนึ่ง ซึ่งเราควรนำมาปรับใช้ในชีวิตก็คือ วิธีคิดเชิงบวก

วิธีคิดเชิงบวก หมายถึง การรู้จักเปลี่ยนมุมมองที่เรามีต่อสิ่งต่างๆ ซึ่งโดยมากมักแสดงตัวให้เราได้สัมผัสในแง่ลบ แต่ พอเราพลิกมุมมองใหม่ เราจะได้อะไรดีๆ จากเรื่องลบๆ เหล่านั้น เช่น ในชีวิตจริงของผู้เขียนซึ่งทำงานกับคนหมู่มาก มักจะพบกับคำชมและคำด่าอยู่เสมอ ๆ เมื่อแรกเผชิญกับคำชม ผู้เขียนก็ฟู ครั้นพบกับคำด่าก็แฟบ แต่เมื่อเรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองต่อคำชมและคำด่า ก็รู้สึกว่า ได้คุณค่าจากคำด่าคำชมเป็นอันมาก

คำชมนั้น สำหรับคนที่ไม่คิดอะไรมาก ดูเหมือนว่า ไม่ลำบากใจเลยที่จะน้อมรับ แต่ สำหรับผู้เขียนแล้ว คำชมนั่นแหละคืออันตรายยิ่งกว่าคำด่า เพราะหากเรารู้ไม่ทัน คำชมจะทำให้เราหลงตัวเองและมีโอกาสลืมตัวสูง ส่วนคำด่า ถ้าพิจารณาไม่ดีก็ทำให้เราเสียศูนย์ได้ง่ายๆ แต่หากพิจารณาอย่างลึกซึ้งด้วยวิธีคิดแบบมองโลกในแง่ดี บางทีคำด่ากลับมีค่ามากกว่าคำชม

คำด่ามีค่ามากอย่างไร ?

(๑) คำด่า คือ กระจกเงาสะท้อนความบกพร่องของงานที่เราทำ

(๒) คำด่า มักแฝงคำแนะนำมาด้วยเสมอ

(๓) คำด่า บอกเราว่า สิ่งที่เราทำอยู่นั้นหากมีคนที่คิดไม่เหมือนเราเขามองดูอยู่ เขาเห็นอะไรในสิ่งที่เรามองไม่เห็นบ้าง

(๔) คำด่า คือ กระดาษทรายอย่างดี ที่คอยขัดสีฉวีวรรณให้เรามีความกลมกล่อมลงตัวเหมือนพระประธานที่ต้องถูกกระดาษทรายขัดสีฉวีวรรณจนผุดผ่อง

(๕) คำด่า ทำให้เราไม่ประมาทผลีผลามทำอะไรด้วยความเชื่อมั่นมากเกินไป

(๖) คำด่า ทำให้รู้ว่า มีคนรักหรือเกลียดเรามากน้อยแค่ไหน

(๗) คำ ด่า ทำให้รู้ว่า อย่างน้อยก็มีคนสนใจในสิ่งที่เราทำ หรืออย่างน้อย สิ่งที่เราทำมันกำลังส่งผลอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงมีคนอุทิศตนมาสนใจและด่าอย่างเป็นงานเป็นการ

(๘) คำด่า จะทำให้เราได้หันกลับมาดูภูมิธรรมของตนเองว่า เข้มแข็งมากน้อยแค่ไหน เมื่อทุกข์กระทบแล้วธรรมกระเทือน หรือกิเลสกระเทือน ถ้าธรรมกระเทือนแสดงว่าเราฝึกตนเองมาดี แต่ถ้ากิเลสกระเทือนแสดงว่า ต้องกลับไปฝึกจิตตัวเองใหม่ให้เข้มแข็งกว่านี้

(๙) คำด่า ทำให้เราได้รู้ว่า ในโลกนี้ไม่มีใครหนีโลกธรรม ๘ ได้ (ได้ลาภ เสื่อมลาภ,ได้ยศ เสื่อมยศ,สรรเสริญ นินทา,สุข ทุกข์)

(๑๐) คำ ด่า คือ บทเรียนเรื่องการปล่อยวางตัวกูหรืออัตตาที่ดีที่สุด เพราะหากเรายังปล่อยวางตัวกูไม่ได้ เราก็จะต้องหาวิธีด่าคืนอยู่ไม่สิ้นสุด แต่เมื่อเราปล่อยวางตัวกูได้แล้ว คำด่านั่นเองคือบททดสอบที่ดีที่สุด

เพราะคำด่ามีคุณค่ามากกว่าคำชมดังกล่าวมานี้เอง ทุกครั้งที่ถูกด่า ผู้เขียนก็บอกตัวเองว่า ไม่เลวเหมือนกัน ได้พบอาจารย์ใหญ่ที่เข้มงวดอีกแล้ว เวลาเจอคำชม ผู้เขียนจะบอกตัวเองว่า ระวังเอาไว้หน่อย โบราณท่านเตือนว่า หวานเป็นลม ขมเป็นยา ถ้าเราไม่หวั่นเกรงต่อคำด่า ไม่เสียท่าต่อคำชม ชีวิตก็สบายไปแล้วครึ่งหนึ่ง

ในทุกวันที่เราต้องทำงานกันตัวเป็นเกลียว เชื่อเหลือเกินว่า เราแต่ละคน คงจาริกอยู่ท่ามกลางคำด่าและคำชมกันทั้งนั้น หลังอ่านบทความนี้จบแล้ว ลองเปลี่ยนมุมมองต่อคำชมคำด่าดู แล้วเราจะพบว่า สิ่งที่ไม่น่าอภิรมย์อย่างคำด่านั้น จริงๆ แล้ว แฝงเพชรนิลจินดาแห่งสติปัญญาเอาไว้อย่างแวววาวพราวพรายไม่น้อยเลยทีเดียว

No comments: