Saturday, April 4, 2009

โลกกะธรรม,โลกธรรม,โลกกระทำ

ปุจฉา
โลกกะธรรม,โลกธรรม,โลกกระทำ


วิสัชนา

ในบรรดาหลักธรรมสำคัญที่พระพุทธองค์ทรงนำมาสอนนั้น หลักเรื่อง โลกธรรม (ธรรมที่มีอยู่ประจำโลก กล่าวคือ ได้ลาภ เสื่อมลาภ, ได้ยศ เสื่อมยศ,สรรเสริญ นินทา,สุข ทุกข์ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โลกธรรม ๘ ) นับว่าเป็นภูมิคุ้มกันชีวิตที่สำคัญมาก

ใน โลกนี้ มีคนมากมายเกินคณานับที่เวียนว่ายอยู่ท่ามกลางโลกธรรม ๘ โดยไม่รู้จักธรรมชาติอันแท้จริงของมัน และนั่นเป็นเหตุให้เขาเหล่านั้น ต้องทุกข์ทรมานกับเรื่องธรรมดาๆ ของชีวิต บางคนปล่อยให้เรื่องธรรมดาๆ ขั้นพื้นฐานอย่างโลกธรรมเล่นงานชีวิตจนเสียผู้เสียคน ที่หนักกว่านั้นก็ถึงขั้นเสียชีวิตไปเลย

โลกธรรม ประกอบด้วยสองส่วน คือ ส่วนที่น่าชื่นชม และส่วนที่น่าขมขื่น

โลกธรรมสองส่วนนี้ ไม่ว่าเราจะชอบ หรือไม่ชอบ จะรู้หรือไม่รู้ วันหนึ่งเราทุกคนก็ต้องพบกับโลกธรรมทั้งสองส่วนนี้อยู่ดี

สำหรับคนที่เผชิญกับโลกธรรมทั้งสองส่วนด้วยความรู้เท่าทัน โลกธรรมก็แค่เพียงผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่พอเรารู้ไม่เท่าทันเท่านั้นแหละ เมื่อโลกธรรมผ่านมาแล้ว มันอาจพัดพาเอาความสุขของเราผ่านไป หรือที่ร้ายกว่านั้นก็พัดพาเอาชีวิตของเราผ่านไปด้วย

โลกธรรมสองส่วนที่ว่านั้นประกอบด้วย

น่าชื่นชม น่าขมขื่น

ได้ลาภ เสื่อมลาภ

ได้ยศ เสื่อมยศ

สรรเสริญ นินทา

สุข ทุกข์

ธรรมชาติอันเป็นธรรมดาที่จะต้องรู้ให้เท่าทันก็คือ โลกธรรมที่กล่าวมานี้ล้วนแล้วแต่

- เกิดขึ้น

- ดำรงอยู่ชั่วคราว

- แตกดับไปในที่สุด

ถ้าเรารู้ทันธรรมชาติของโลกธรรม ๘ ประการนี้ ผลที่จะตามมาก็คือ เรา จะไม่ยึดติดโลกธรรมทั้งสองฝ่ายว่ามันจะต้องสถิตอยู่กับเราตลอดไป และในทางกลับกันเราก็จะสามารถปล่อยวางโลกธรรมด้านที่เราชื่นชมได้อย่างง่าย ดาย โดยไม่อาลัยอาวรณ์

เคย มีดาราคนหนึ่งเล่าถึงชีวิตของตัวเองไว้ว่า ช่วงที่เขาพบกับโลกธรรมฝ่ายชื่นชมนั้น เขามีชื่อเสียงสูงสุดถึงขนาดไม่สามารถไปเดินห้างสรรพสินค้าได้อย่างคนทั่วไป เพราะเขารู้สึกว่า ไม่ว่าจะขยับทำอะไร ล้วนแต่มีคนคอยจับจ้องไปเสียทุกฝีก้าว กิจกรรมของชีวิตมีสิทธิ์เป็นข่าวได้ตลอดเวลา สภาพชีวิตเช่นนั้น ทำให้หัวใจของเขาพองโต แม้ว่าเขาจะขาดอิสรภาพไปบ้างก็ตาม แต่ต่อมา พอพ้นจากช่วงขาขึ้นแล้ว เขาเล่าว่า แม้เขาจะแต่งหน้า แต่งตัวให้ดูดีเพียงใดไปเดินห้างสรรพสินค้า ก็แทบจะหาคนมาทักเขาไม่ได้ และ ด้วยความที่สำคัญตนว่าเป็นดารามีชื่อเสียง แม้วันหนึ่งเขาจะกลายมาเป็นคนขัดสน แต่ถึงกระนั้น เขาก็พยายามนำเสนอตนเองต่อสังคมว่า ยังคงเป็นคนมีฐานะและยังคงพยายามใช้ชีวิตอย่างพระเอกอยู่เหมือนเดิม กว่าจะยอมรับได้ว่า ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เขาต้องใช้เวลาเยียวยาตัวเองอยู่หลายปี

เรื่องที่เล่ามานี้ คือ ภาพสะท้อนของคนที่ไม่รู้จักโลกธรรม เมื่อ ดังมากๆ ก็อยากจะสัมปทานความดังนั้นไว้ให้เป็นสมบัติของตนเองไปตลอดโดยหารู้ไม่ว่า สรรพสิ่งล้วนมีเกิด มีดับเป็นธรรมดา ชื่อเสียงมาได้ วันหนึ่งก็ไปได้ พอไม่เข้าใจโลกธรรม เรื่องแสนธรรมดา จึงเล่นงานเอาทำให้เขาทุกข์ปางตาย

แต่ครั้นผ่านวันเวลามาพอสมควรแล้ว เขา จึงเกิดการเรียนรู้ว่า หากไม่ยอมรับความจริง คงอดตายแน่ ในที่สุด เขาก็ยอมรับด้วยความจำนนต่อสัจธรรมว่า วันเวลาของตนเองในโลกมายาได้จบลงแล้ว และนั่นทำให้เขาต้องเตือนตนเองว่า เขาควรจะกลับมาเป็นคนธรรมดาได้แล้ว ครั้นเกิดการยอมรับว่า ตนก็เป็นคนธรรมดาได้เหมือนกัน ความสุขที่หายไป ก็ผลิบานขึ้นมาใหม่อย่างไม่น่าเชื่อ

แท้จริง ความสุขในชีวิตของเขาไม่เคยหายไปไหนเลย มันยังคงซ่อนอยู่เบื้องหลังทัศนคติที่ผิดของเขานั่นเอง ทันทีที่ปรับใจให้หันมาเห็นถูกตามธรรมชาติอันเป็นธรรมาดาของโลกธรรมได้ ความสุขก็เผยตัวตนออกมา

โลกธรรมนั้น ถ้าเรารู้เท่าทันแล้ว ก็ไม่มีอิทธิพลอะไรมากมายนัก หรืออาจไม่มีผลอะไรเลยก็ได้ต่อชีวิต หากโลกธรรมฝ่ายชื่นชมและขมขื่นเกิดขึ้น เราก็เพียงแต่รับรู้ สัมผัส แล้วก็ปล่อยมันไป แค่เพียงรู้เท่าทันไม่ว่าโลกธรรมนั้นจะมาในลักษณะไหน ด้วยความเข้มข้น หนักหนาสาหัสเพียงใด เราก็จะผ่านมันไปได้อย่างมีความสุข

...............................

ในโลกของเราทุกวันนี้ ยังมีคนอีกเป็นจำนวนมาก ที่มีความคิดอย่างผิดๆ ว่า โลก (ชีวิต) ไม่ควรจะเกี่ยวข้องกับธรรม (ในความหมายอย่างแคบ คือ หลักธรรมคำสั่งสอนของศาสดาแต่ละศาสนา) ธรรมะควรเป็นเรื่องของพระและผู้สละตนเข้าสู่เพศพรหมจรรย์อย่างแม่ชีเท่านั้น ส่วนชาวโลกควรกิน ดื่ม สืบพันธุ์ ดำเนินชีวิตไปโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก

คนที่คิดอย่างนี้ คือ คนที่แยกโลก กะ ธรรม ออกจากกันอย่างสิ้นเชิง แน่ นอนว่า คนประเภทนี้ มักไม่ค่อยมีภูมิคุ้มกันในการดำเนินชีวิต เพราะเมื่อเขาไม่สนใจธรรมะ เขาจึงไม่ต่างอะไรกับคนตาบอด ที่ไม่รู้ว่า หลุมบ่อ หรือขวากหนามแห่งชีวิตอยู่ตรงไหน เมื่อไม่รู้จักธรรมะ พอถูกโลกธรรมทั้งแปดกระทบเข้าจึงทุกข์หนักหนาสาหัส

คนที่ไม่รู้จักโลกธรรมแปดเพราะมีความคิดว่า โลก กะ ธรรม ไม่เกี่ยวข้องกัน จึงมักถูก โลกกระทำ ให้เจ็บช้ำน้ำใจครั้งแล้วครั้งเล่า

พอได้ลาภ ก็หลงระเริงฟูฟ่อง แทบมองไม่เห็นหัวคน

พอเสื่อมลาภ ก็เศร้าสลดจนแทบจะทนมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ไหว

แต่สำหรับผู้รู้เท่าทันโลกธรรมแล้ว เขาย่อมมองเห็นอย่างชัดเจนด้วยปัญญาว่า โลก กะ ธรรม นั้น ไม่อาจแยกจากกันได้ ในโลก (ชีวิต) ต้องมีธรรม และในธรรมก็ต้องมีโลก (คือ ธรรมะต้องนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิต) เมื่อตระหนักรู้ด้วยความเข้าใจว่า โลกกะธรรมต้องไปด้วยกัน และรู้ต่อไปว่าในโลกนั้นมีธรรมประจำโลกอยู่เป็นธรรมดา จึงวันหนึ่งเมื่อถูกโลกธรรมกระทบ คนเช่นนี้ จึงไม่ถูกโลกกระทำให้ช้ำใจ

โลกกะธรรม โลกธรรม และโลกกระทำ

คือ สัจธรรมที่เราทุกคนต้องเปิดตาเปิดใจเรียนรู้เอาไว้ให้เท่าทัน เพราะมีแต่การรู้เท่าทันเท่านั้น ที่จะทำให้เราอยู่ท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์อย่างมีความสุข

No comments: