Thursday, July 29, 2010

ธรรมวันมาฆบูชา

ธรรมวันมาฆบูชา

วันนี้ตรงกับวันที่ ๗ มีนาคม ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ อันเป็นวันธรรมสวนะ และเป็นวันฤกษ์แห่งมาฆบูชา เป็นปีที่ ๒๕๓๖ อันการที่มีพิธีเวียนเทียนฉลงอวันที่ระลึกมาฆบูชานี้ ไม่ใช่มีมาตั้งแต่สมัยที่พระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ มีมาเมื่อสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี่เอง ประเทศไทยเราได้ตรวจตามพระไตรปิฏก บรรดาพระเถระทั้งหลายที่เป็นผู้ใหญ่ในสงฆ์ได้ตรวจดูตามพระไตรปิฏกถึงวัน สำคัญ ก็ได้จัดนำมาประกอบเป็นพิธีมาฆบูชา อันเป็นการระลึกถึงพระปริสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ พระปัญญาธิคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นสิ่งที่สูงสุดในโลกมนุษย์และโลกสวรรค์ คำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น จึงทำพิธีเวียนเทียน เพื่อระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ถ้าจะว่าทั้งหมดมีทั้ง ๙ แต่ว่าที่สำคัญๆ ก็เฉพาะวันนี้ หรือวันมาฆบูชาและวันนี้ในอดีต เมื่อครั้งทำครั้งแรกพระสงฆ์ที่มาร่วมชุมนุมเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ ที่พระพุทธเจ้าบวชให้เองทั้งสิ้นเรียกว่า "เอหิภิกขุ" มี ๑๒๕๐ รูป ไม่ได้บวชอย่าง "ญัตติจัตตุถกรรม" คือ มีพระอุปัชฌาย์ มีพระกรรมวาจา มีพระนั่งหัตถบาส ๑๐ กว่ารูป แต่ที่พระพุทธเจ้าบวชให้เอง "เอหิภิกขุ" นี้ก็เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด เป็นพระอรหันต์ผู้มีอภิญญา คือ มีวิชชา ๓ วิชชา ๘ วิชชา ๘ นั้น มีวิชชาหนึ่งใน ๘ อย่างเรียกว่า วิชชาอิทธิฤทธิ์ คือ แสดงเป็นอภินิหารได้ ในวันนี้ก็อยากจะนำเล่าประวัติของพระเจดีย์องค์นี้ที่หลวงพ่อได้เป็นผู้ ดำเนินการก่อสร้างขึ้น โดยทุนรอนของสานุศิษย์และประชาชนทั่วไปได้ร่วมกันบริจาคสร้างจนสำเร็จลุล่วง ด้วยดี ใช้เวลา ๒ ปี ๑๑ เดือน ๒๕ วัน ก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ในวงเงินที่เป็นค่าค้างและค่าวัสดุ ๒ ล้าน ๘ แสนกว่า ถ้าทำปัจจุบันนี้ราคา ๒ ล้าน ๘ แสนนั้นทำไม่ได้แน่ อย่างน้อยต้องราคาราว ๘ ล้านหรือ ๙ ล้าน ถึงจะทำได้ สมัยที่ลงมือทำนั้นปูนราคาถุงละ ๒๓ บาทเท่านั้นเอง จนใกล้จะเสร็จแล้วปูนขึ้นราคาถุงละ ๗๓ บาท ทรายก็ขึ้น ปูนก็ขึ้น ค่าแรงงานก็ขึ้น อย่างโมเสกนี้ที่ปิดองค์พระเจดีย์นี้ ตอนนั้นราคายังถูก ตารางฟุตละเพียง ๑๐ บาท เดี๋ยวนี้ ๑๕ บาท บางคนก็อาจสงสัยว่าทำไมถึงใช้โมเสกสีขาว ไม่ใช้สีเหลืองหรือสีทองที่เขาใช้ทั่วๆ ไป คือ การที่หลวงพ่อได้พบในการนั่งกรรมฐานที่จะได้สร้างพระเจดีย์องค์นี้เป็น ประวัติมีอยู่ว่า เมื่อเช้าก็ได้แสดงธรรมแล้วก็ยั้งไว้เสีย เพื่อให้เราระลึกถึงอยากจะรู้ ตั้งใจว่าจะนำมาแสดงในคืนวันนี้
เหตุ ที่ได้สร้างพระเจดีย์นี้ขึ้นก็เพื่อจะรองรับพระบรมสารีริกธาตุขององค์สัมมา สัมพุทธเจ้าที่ได้เห็นปาฏิหาริย์มาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๕ หลวงพ่อบวชได้แล้ว ๖ พรรษา มันเกิดความร้อนใจขึ้นมา จำวัดที่กุฏิหลังเก่าไม่ได้ มีความอยากที่จะไปจำวัดบนหลังเขานี้ บนหลังเขานี้ก็ยังเป็นป่ารก พระท่านมาปลูกกุฏิเล็กๆ ไม่มีฝา พอได้นอน ไว้สำหรับนั่งกรรมฐานกลางวัน ฉันเพลแล้วก็มาพักผ่อนบนหลังเขานี้ หลวงพ่อก็เคยขึ้นมาพัก โดยมากตอนแรกบวชนั้นบนหลังเขามักเป็นที่อยู่ประจำ ฉันแล้วก็ขึ้นหลังเขา ทีแรกก็เอากระเบื้องแผ่นเรียบตอกไม้เอา ยาวราวๆ เกือบเมตรพอหลังได้พิงได้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องนอนบนหิน ที่ร้อนใจที่ได้ขึ้นมานั่งกรรมฐานบนเขานี้ คืนแรกนั้นมาจำวัดก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แต่พอคืนที่สองนั่งอยู่บนร้านบนกุฏิชั่วคราวก็มองไปทางทะเลตรงนั้น มองเห็นทะเลอ่าวสวี อ่าวบ่อคา แล้วก็เห็นเป็นเหมือนกับเปลวควันที่มืดเป็นสีน้ำตาลสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าเกือบ กิโลเมตร เป็นยอดแหลม ก็ไม่รู้ว่าอะไรมันขึ้นในทะเลโน่น ก็นั่งมองๆ พอดีใกล้ค่ำแล้ว เอาไม่รู้ก็ไม่รู้เลยตั้งใจจะนั่งกรรมฐาน เตรียมตัวจะนั่งกรรมฐานเกือบ ๑ ทุ่มแล้ว เอาสามเณรขึ้นมารับใช้องค์หนึ่ง สามเณรก็บอกว่าอย่าเพิ่งนั่งท่านอาจารย์ๆ
ไม่รู้อะไรออกไปจากถ้ำ ดวงโตเท่าบาตรนั่น ถามว่าอยู่ไหนล่ะ โน่นอยู่กลางนาโน่น ก็เลยลงมาจากกุฏิออกมาดูก็จริงแหละ แจ้งสว่างเหมือนดวงเดือนแต่โตกว่าดวงเดือน ลอยอยู่ มองเห็นด้วยตาจักษุ (ตาเนื้อ) ไม่สูงมาก สูงกว่ายอดมะพร้าวสัก ๓-๔ วา หรือยอดตาล ลอยไปทางทิศตะวันออก แล้วลอยไปทางทิศตะวันตก แล้วก็ลดลงมาลอยผ่านต้นมะพร้าวไปช้าๆ เหมือนกับว่าทำอะไรเล่นๆ อย่างนั้น ก็มึนงงไม่รู้ว่าอะไร ดวงเล็กๆ ๓ ดวง เท่าไฟกระพริบนั่น ลอยมาจากกลางนาตรงเข้ามาที่เขานี้ พอใกล้แล้วก็ถอยไป ข้างโบสถ์ก็ดวงหนึ่งลอยมาจากริมโน้น เข้ามาถึงกุฏิต้นโพธิ์กุฏิหลังเก่าหลวงพ่อ ทางถนนนอกนี้ก็ลอยเข้ามาแล้วก็ถอยออกอยู่อย่างนั้น มีสามเณร ๓ รูป แล้วก็น้องสาวของหลวงพ่อด้วยมานั่งกรรมฐาน เลยเรียกขึ้นมาดูบนนี้ทั้งหมด ก็นั่งดูอยู่อย่างนั้น ลอยไปลอยมาอยู่อย่างนั้น ไม่รู้เรื่องอะไรจน ๕ ทุ่มกว่าก็ยังไม่ดับ ง่วงนอนเลยบอกว่านอนกันเถอะแล้วค่อยรู้ ก็นอนกัน คืนวันรุ่งขึ้นหลวงพ่อนั่งกรรมฐาน ลงไปนั่งข้างล่างที่กุฏิหลังเก่า พอนั่งเท่านั้นก็เห็นทันทีตรงหน้าถ้ำนั้น ถ้ำล่างที่มีศาลาอยู่เดี๋ยวนี้ ตรงก้อนหินที่อยู่ข้างหน้าถ้ำ สูงแค่ศีรษะ เราได้เห็นเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับยืนอยู่บนก้อนหินนั่น เครื่องหมายที่เราจะรู้ว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรงกระหม่อมของพระองค์ นูนสูงขึ้นเหมือนกับรูปถ่ายสีขาวดำที่ถ่ายอยู่ที่กุฏิหลวงพ่อนั่นแหละ เหตุที่กระหม่อมได้สูงขึ้นไปนั้น ครั้งที่พระพุทธองค์ได้ทรมานพระวรกายอยู่ไม่ฉันอาหาร ๔๕ วันนั่น แล้วทรมานตนกลั้นลมหายใจไม่ให้หายใจเข้าหายใจออก ลมหายใจดันขึ้นทางสมอง กระหม่อมนูนขึ้นไปแล้วก็ไม่หายจนพระองค์ทนแทนจะขาดใจสิ้นพระชนม์ชีพก็ทน ก็ต้องปล่อยเพราะผิดธรรมชาติ บีบคั้นเบียดเบียนตัวเองจึงได้นุนอยู่ตลอดไป เพราะดูแล้วพระหัตถ์ข้างซ้ายของพระองค์นั่นถือกลดสีขาวเท่าๆ รมธรรมดานี่แหละ แล้วยกขึ้นมากันที่พระเศียร แล้วก็เอนไปทางหลัง แล้วเห็นเจดีย์องค์สีขาวตั้งอยู่ตรงต้นลั่นทมใกล้ก้อนหินที่ประทับยืนอยุู่ นั่นเจดีย์ขาวอย่างนี้แหละแต่เล็กๆ ก็รู้ในนิมิตที่เห็นว่า พระบรมธาตุจะเสด็จลง ทำนิมิตให้หลวงพ่อสร้างพระเจดีย์ขึ้นครงนั้น เอาอะไรสร้าง คนก็ไม่ค่อยมาทำบุญที่วัด ไปบิณฑบาตบางวันก็ได้แต่ข้าวเปล่า บางวันก็ได้อาหารสักอย่างหนึ่ง ตั้ง ๒-๓ ครั้ง ไปบิรฑบาตได้ข้าวเปล่า แต่ชาวบ้านก็นึกได้ว่าเป็นสลากของเขา เขาเลยเดินมาถามที่วัดว่า เขาเพียงจำเอาไว้วันนี้ตรงสลากของเขาใช่ไหม ตอบว่าใช่ เขาเลยกลับไปตำน้ำพริกมาถวาย ๒-๓ ครั้ง แล้วจะสร้างพระเจดีย์เอาอะไรสร้าง แม้แต่อาหารจะฉันก็ไม่มี ๒-๓ ปีแรกก็เฉย นึกว่าไม่มีก็อย่าสร้าง ถึงเวลาก็ได้สร้างเอง อยู่อย่างนั้นไม่ได้คำนึงถึงอะไร พอถึง พ.ศ. ๒๕๒๐ พวกศิษย์ตอนนั้นดีขึ้นแล้วมีพระมาบวช ๑๙-๒๐ รูป อาหารก็ไม่อัตคัด มีฉันอุดมสมบูรณ์ทุกวัน ทีนี้มีศิษย์จากเชียงใหม่เขาเอาปัจจัยมาถวายให้ ๒ หมื่น ว่าให้สร้างกุฏิที่หลวงพ่ออยู่ในปัจจุบันนี้แหละ หลวงพ่อตอบว่าไม่เอาแล้วพอแล้ว กุฏิสร้างเสร็จแล้ว เขามาเที่ยวนั้นฉลองกุฏิแล้ว พวกศิษย์ได้มอบถวายกุฏิให้เป็นที่พักของหลวงพ่อ เขาก็ไม่ยอมเอากลับ แล้วแต่หลวงพ่อจะเอาทำอะไร พอดีในตอนกลางวันเขาไปนั่งกรรมฐานในถ้ำล่าง ถ้ำพระข้างล่างเขาเห็นเป็นเหมือนดวงเดือนนั่นแหละออกจากก้นถ้ำแล้วมาหมุน อยู่ข้างหน้า แล้วก็ทำอยู่อย่างนั้น เข้าไปหลังพระประธานแล้วก็ออกมาหมุนอยู่ข้างหน้า หมายความว่าอะไรเขาก็ไม่รู้ก็ไปถามหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ตอบว่าเออดีแล้ว เราจะได้ทุนแล้วที่เห็นนั่นนิมิตพระบรมธาตุนั่นเอง หลวงพ่อก็ได้เห็นแล้วเมื่อปี ๒๕๑๕ นิมิตว่าให้สร้างพระเจดีย์ขึ้นด้วย หลวงพ่อคิดจะสร้างเพียงเส้นผ่าศูนย์กลางสัก ๔ เมตร หรือ ๓ เมตรเท่านั้น ไม่ได้คิดสร้าง ๑๔ เมตรเท่านี้ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เงินที่ปวารณาถวาย ๒ หมื่นนั้น ตั้งเป็นทุนสร้างพระเจดีย์เอาไหม เขาก็ตกลง เขาถามว่าราคาสักเท่าไรได้คะ หลวงพ่อก็ตอบว่าตกประมาณ ๓ แสนจะได้มั้ง ประมาณเอาไม่ได้คิดทำใหญ่อย่างนี้ แล้วก็ไม่ได้คิดจะหุ้มอย่างนี้ คือสร้างมาแล้วก็ใช้สีทา แล้วพื้นนี้ก็ไม่มีหรอกใช้พื้นเขานั่นแหละ บอกว่าเขาขอรับเอง ๓ แสนบาท เขามีพี่น้อง ๗-๘ คน ก็บอกว่าไม่ได้ ศิษย์ของหลวงพ่อไม่ใช่มีแก ๗-๘ คน มีผู้อื่นอีกให้เขาได้ร่วมกันบ้างซิ เขาบอกว่าแล้วแต่หลวงพ่อ ก็เลยบอกว่าตั้งเป็นทุนขั้นต้นก็แล้วกัน พอได้สัก ๔-๕ แสนเมื่อไรก็ลงมือทำๆ หมดเงินเมื่อไรก็หยุด เป็นอย่างนี้แหละ พอดีได้ ๒ หมื่น ๓-๔ วัน คนนั้นก็รู้คนนี้ก็รู้ ก็ได้สมทบกันเข้ามากเป็นพันบ้าง ๔-๕ พันบ้าง เป็น ๓-๔ หมื่น ก็ฝากธานารสิ้นปี ๒๕๒๑-๒๕๒๒-๒๕๒๓ มีกฐินทอดทุกปีมีเงินอยู่ ๔ แสน ๕ หมื่นบาท ก็ลงมือทำทันที แล้วพอ ๖ เดือนคิดงบบัญชีทีหนึ่งเงินก็เหลือ ๔ แสน ๕ หมื่น หรือ ๕ แสนอยู่แค่นั้น ทำงานเสร็จใช้เวลา ๒ ปี ๑๑ เดือน ๒๕ วัน ฉลองเสร็จก็มีเงินเหลือ ๕ แสนกว่า ก็ได้สร้างศาลาโรงธรรมหลังใหญ่ที่เรามาทำบุญกันเป็น ๒ ชั้น นั่นหมดไป ๑ ล้านกว่าก็ไม่ได้ติดขัด ที่เห็นนี่ เห็นเป็นพระพุทธเจ้า เราก็รู้ว่าเป็นพระ บรมธาตุมาแน่ พอดีศิษย์คนหนึ่งมาบวชที่วัด บ้านอยู่กรุงเทพฯ เขาบอกว่ามีพระบรมธาตุจริงไม่จริงผมไม่ทราบ แต่เป็นของหลวงปู่ซึ่งท่านพระผู้ปฏิบัติธรรมอยู่วัดบางปะกอก ธนบุรี ชื่อ หลวงปู่พริ้ง ซึ่งหลานของท่านตอนหลังก็มาเป็นลูกศิษย์ท่าน เป็นผู้ปฏิบัติจริง เมื่อท่านมรณภาพ ศิษย์คนนี้ก็ได้พระบรมธาตุมาองค์หนึ่ง ว่าเป็นพระบรมธาตุซึ่งเขาเอามาดูแล้วเห็นเป็นสีชมพู โตเกือบเท่าเม็ดถั่วลิสงขนาดย่อม เห็๋นเป็นรุ้งมีประกายเป็นรุ้ง หลวงพ่อก็ใส่ที่ฝ่ามือขวา กำมือแล้วอธิษฐานว่านี่เป็นพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้าใช่หรือไม่ ถ้าใช่ขอให้ปราฏเห็นเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสร็จแล้วก็หลับตา ก็ปรากฏเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าชัดเจน ศิษย์เขาก็ถวายหลวงพ่อ พอเขารู้ว่าเป็นพระบรมธาตุ หลวงพ่อก็เอาใส่ย่ามไว้ตลอดเวลา แล้วก็มีปาฏิหาริย์มาอยู่ที่พระประธานในถ้าำ ๕ องค์ ใส่อยู่ในผอบรูปเจดีย์ไม้จันทน์ ถามใครก็ไม่มีใครรู้ ตั้งอยู่ในตักพระประธาน เปิดดูมีอยู่ ๕ องค์ ก็อธิษฐานก็ใช่อีกแหละ ที่ได้เห็นกับตาเป็นองค์พระบรมธาตุ ๖ องค์ ทีหลังศิษย์คนนั้นเขารู้ว่าสร้างพระเจดีย์ขึ้น ที่เขาเก็บพระธาตุไว้ตั้งแต่บรรพบุรุษ ก็นำมาถวาย ๒ หมื่นกว่าองค์ เอามาอธิษฐานดูทั้งหมด ชนิดเป็นทรายก็เอาออกไป ถ้าปรากฏเป็นรูปพระมีสังฆาฏิ หรือไม่มีสังฆาฏิ แต่ห่มผ้าสีกลักก็เอาไว้ ถือว่าเป็นพระอริยะ พระสาวกหมื่นกว่าองค์ พระสิวลี ๒ องค์ พระสารีบุตร ๑ องค์ พระโมคคัลลานะ ๑ องค์ บรรจุไว้ที่นี่ เมื่อบรรจุพระบรมธาตุเสร็จวันนั้นฝนตก หลวงพ่อขึ้นมาอยู่บนห้องประชุม (ห้องใต้พระเจดีย์) นี้บ่าย ๓ โมงได้ พอฝนกหยุด พระขึ้นกวาดน้ำบนลานเจดีย์ พระเห็นยอดฉัตรแกว่งในเงาน้ำบนลานเจดีย์ ก็เลยเลยหน้าขึ้นไปดู ก็เห็นยอดฉัตรแกว่งจริงๆ ก็เลยไปเรียกหลวงพ่อบอกว่ายอดฉัตรแกว่งได้ พอขึ้นมาดูอ้อจริง ก็นึกไม่ออกว่าฉัตรนี่เป็นยอดฉัตรยาวสแตนเลสเหล็กตัน เส้นฝ่าศูนย์กลาง ๑ นิ้ว ยาว ๑ เมตร ๕๐ เซนติมตร ฝังลงในปูนยอดเจดีย์ ๒๐ เซนติเมตร โผล่พ้นยอดปูนออกไป ๑ เมตร ๓๐ เซนติเมตร แล้วขันเกลียวติดกันอ๊อกติดด้วยเป็นสายล่อฟ้า สายล่อฟ้าอยู่ในองค์เจดีย์ ใส่สายล่อฟ้าอยู่เต็มคานเจดีย์แล้วก็ลงดินทางริมนา ข้างบนยอดนี้ก็มีทองแดง ๓ ง่าม บนยอดฉัตรติดต่อกันหมด ตามวิธีของศิษย์ที่เขาทำงานอยู่การไฟฟ้าแนะนำให้ก็ทำตามให้ถูกต้อง ฉะนั้นตอนฟ้าร้องฟ้าผ่าจึงไม่มีปัญหา แล้วที่นี้ยอดฉัตรแกว่งนั้น ตอน ๕ โมงเย็นแกว่งอีก หลวงพ่อเฝ้าดูอยู่นั่น ๓ ชั่วโมงทีเดียว อีก ๒ วันอธิษฐานดูว่าทำไมยอดฉันถึงแกว่งได้ เป็นเสียงห้าวๆ ตอบมาสูงๆ เป็นคำถามว่า ก็พระประธานอยู่ที่ไหนล่ะ คำถามอย่างนี้เราตีออกไหมล่ะ "ก็พระประธานอยู่ที่ไหนล่ะ" พระประธานก็หมายถึง พระพุทธเจ้านั่นเอง พระประธานในโบสถ์ คือ รูปพระพุทธเจ้าใช่มั้ยล่ะ รูปหล่อรูปปั้นก็ตาม เราเอาพระบรมธาตุบรรจุไว้ที่นี่ เป็นอภินิหารของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง นี่คืออภินิหาร แต่หลวงพ่อไม่พูดไม่ประกาศ วันนี้แหละประกาศให้พวกเราได้รู้กัน ถ้าจะประกาศให้พวกหนังสือพิมพ์รู้ เขาก็เอาไปแล้วแหละ เขาเอาไปเขียนลงหนังสือพิมพ์ อาจทำให้คนแตกตื่นก็ได้ อาจไม่เชื่อว่าโกหกก็ได้ หรือเขาอาจว่าทำกลไกอันใดไว้ก็ได้ เคยได้ยินเข้าหูเหมือนกัน คนที่มาเห็นนั่น เอาเถอะใครตรวจพบได้มีเครื่องมือแล้วพิสูจน์ให้ลวงพ่อเห็นว่ามีกลไกอะไรหลวง พ่อจะให้รางวัล ๑ แสนบาท ใครพิสูจฯืได้ในเมืองไทย พระเจดีย์ที่ไหนบ้างมีัยอดฉัตรแกว่งได้ ไม่มี อย่างที่หลวงพ่อเคยอ่านประวัติของนครปฐมนั่น เมื่อต้นรัชกาลที่ ๖ ยังอยู่ ท่านเสด็จมาประทับที่พระราชวังสนามจันทร์นครปฐม เพื่อซ้อมรบเสือป่าลูกเสือ ท่านได้ทอดพระเตรเห็นยอดพระเจดีย์นครปฐมมีแสงเหมือนกับดวงไฟแจ้งอยู่ดวง หนึ่ง เห็นครั้งหนึ่ง รัชกาลที่ ๖ ท่านเห็นที่แกว่งอย่างนี้ไม่มี นี่พิสูจน์ให้พระที่เฝ้ารักษาพระเจดีย์บนนี้ ๒ รูป ว่าเห็นแกว่งเวลาไหนก็ตามใจ เกิน ๕ นาทีแล้วให้จดบันทึกไว้ทุกครั้ง, จดไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๖ แค่กลางปีค่อนปลายปีแล้วแกว่ง ๒๒๙ ครั้ง พ.ศ. ๒๕๒๗ ทั้งปีแกว่ง ๖๐๓ ครั้ง ปี ๒๕๒๘ แกว่ง ๗๖๗ ครั้งแล้ว ก็เลยสั่งไม่ต้องจดอีก วันนี้ก็ถามพระที่อยู่บอกว่าแกว่งทุกวัน ไม่เลือกเวลา แกว่งในลักษณะไปทางตะวันออก ตะวันตก เหนือ ใต้ ไม่ใช่หมุน เมื่อไม่กี่วันนี้ดวงไฟนี้ดับ ให้ศิษย์คนหนึ่งที่กล้าหาญขึ้นไปเปลี่ยนหลอด โดยเอาไม้พะองอันเดียวตั้งขึ้นไป เอาเชือกผูก ๓ แฉก แล้วไต่ขึ้นไปเปลี่ยนหลอด พระใช้ให้โยกปลายฉัตรดู เอามือโยกไม่ไป แข็งมาก ทำไมถึงแกว่งได้ นี่แหละก็ถ้ามันหลวมเอามือโยกมันก็ต้องคลอนได้ซิ ใช่หรือไม่ แต่ทำไมถึงแกว่งได้ สังเกตให้ดีที่แกว่งไม่ใช่จากโคน แต่จากฉัตรระหว่างชั้นที่ ๑ กับชั้นที่ ๒ นี่เล่าให้ฟังอย่างละเอียดอย่างนี้ เราต้องรู้ว่าที่จะได้พระบรมธาตุมานี้ หลวงพ่อมิได้มาส่งๆ พอใครเอาพระธาตุมาให้แล้วก็บอกว่าได้พระธาตุมา มีอยู่ผู้หนึ่งซึ่งเป็นนายตำรวจ ตอนนั้นเขาบวชอยู่ได้พระธาตุมาใหญ่โต เอาไปแจกชาวบ้าน ไปแจกถึงเชียงใหม่โน่น ที่เชียงใหม่พอหลวงพ่อไป เขาเอามาให้หลวงพ่อดูว่านี่ใช่หรือเปล่าพระธาตุ หลวงพ่อถามว่านายตำรวจคนหนึ่งเขาให้เราหรือ เขาบอกว่าใช่ หลวงพ่อเลยบอกว่า "พระธาตุทราย" ทรายขาวๆ หลวงพ่ออธิษฐานดูที่ดำเนินสะดวก เขายืนยันว่าพระธาตุ อธิษฐานซ้ำแล้ว ซ้ำอีก เดี๋ยวก็เห็นลิงอกมาไต่ให้ดู บอกว่าหลวงพ่อบอกหลอกเหมือนลิงนั้นแหละ นี่เป็นอย่างนี้นี่แหละ แล้วนี่คนที่ไม่เคยเห็นไม่มีธูปเทียนก็ให้กราบลงไป แล้วอธิษฐานว่าอยากเห็นปาฏิหาริย์ยอดฉัตรแกว่งกราบแล้วอธิษฐาน แล้วอย่าไปนึกอยากเห็น ทำใจให้เป็นกลาง แล้วมองขึ้นไปเถอะ เดี๋ยวก็ได้เห็นอย่างน้อย ๕ นาที มีศิษย์ที่เป็นนายทหารอากาศคนหนึ่งมาอยู่ ๓ วัน เมื่อตอนฉลองหรืออะไรนี่แหละไม่เห็น นอนบนห้องใต้เจดีย์นี้แหละ คนอื่นๆ เห็นทั้งนั้น พอหลวงพ่อขึ้นมาเขาก็ขึ้นมากราบบนนี้ตอนบ่าย ขึ้นมากราบแล้วนั่งดู เดี๋ยวลงไปกราบหลวงพ่อบอกว่าเห็นแล้วครับ ถ้าหลวงพ่อไม่ออกกฏบังคับไว้ แน่นอนต้องมีการปิดทองเต็มหมดและสกปรกเลอะเทอะ นี่หลวงพ่อไม่ยอมให้ทำเด็ดขาด ความศักดิ์สิทธิ์ต้องเอาทองคำเปลวมาปิดเอากระเทียมมาทา ดูเหมือนคนเป็นแผลคุดทะราด ดีนัก งามนัก ศัดิ์สิทธิ์ พระประธานที่ในถ้ำติดกันจนไม่มีที่ติด ไปดูแล้วปลิวไปปลิวมาพะเยิบพะยาบอยู่ หลวงพ่อให้พระขัดออกหมด เอาเถอะ หากมีโทษอะไรหลวงพ่อรับเอง ขัดออกแล้วทาสี แล้วเขียนว่า "ห้ามปิดทอง" ใครสอน พระพุทธเจ้าสอนไว้ตรงไหนล่ะว่าเอาทองปิดพระพุทธรูป ปิดพระเจดีย์ แล้วได้บุญตรงไหนล่ะ เหมือนติดลูกนิมิตนั่นก็มีผู้มาถามหลวงพ่อว่าปิดทองลูกนิมิตได้บุญไหมหลวง พ่อ หลวงพ่อว่าเขาว่าได้บุญของก้อนหินมัน ก้อนหินมันดำเอารักทาไว้เลยเอาทองปิดมันเหลืองๆ เข้า งามสักหน่อยดีกว่าดำๆ นั่นบุญ แต่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไม่มีหรอกว่าเอาทองปิดพระให้เลอะๆ แล้วเอากระเทียมทา นั่นมันร้อนๆ มันควรหรือเปล่าทำอย่างนั้น ฉะนั้นเราอย่าไปทำอะไรที่งมงาย นี่หลวงพ่อนำมาเล่ามากล่าวให้ฟัง เราจะได้รู้ประวัติ หลวงพ่อจะเปิดเผยแล้ว เพราะเป็นเวลาสมควรแล้ว ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๖ เป็นเวลา ๑๐ ปีแล้ว หลวงพ่อจะเปิดเผยต่อสาธารณชนทั่วไป พวกโทรทัศน์เขาขอหลวงพ่อไว้ พวกศิษย์ๆ นี่จะเอาไปออกโทรทัศน์ เมื่อก่อนเอาไปออกทีหนึ่งแล้วทำผิดๆ ไม่เข้าท่า ถ่ายเสร็จแล้วนำพระอะไรไม่ทราบไปนั่ง พระวัดนี้ไม่มีเลย นี่นะคือพูดถึงอภินิหารให้ฟัง แต่ให้เข้าใจให้แน่ อย่างพระพุทธเจ้าไม่ได้ยกย่อง อิทธิปาฏิหาริย์ การแสดงฤทธิ์ได้ เดินน้ำได้ ดำดินได้ เหาะได้ก็ตาม เป็นพระอรหันต์ไม่ได้ ถึงนิพพานไม่ได้ แล้วพระพุทธเจ้าปรับโทษด้วย ถ้าพระแสดงเข้าก็ปรับอาบัติ เช่น พระทำวิชาหนังเหนียวให้คนพิสูจน์ฟันได้ ไม่เข้า พระที่ทำพระเครื่องนั้นก็อาบัติ พระเครื่องเราเลิกซื้อเสียนะหลวงพ่อแนะนำไว้ ถ้าอยากจะแขวนพระมาหาหลวงพ่อ จะหาให้เองรับรองเอาปืนมายิงก็ไม่เข้าหรอก แต่มันหนักไปหน่อยนะ ถ้าอยากแขวนพระเครื่อง หลวงพ่อสมัยเป็นฆราวาสเคยมีองค์หนึ่งราคาเกือบล้าน ทำจากเขาพนมอุบาเก็ง เป็นกริ่ง เขาเรียกว่า "กริ่งอุบาเก็ง" ทำโดย ฤาษี ๗ ตน รุ่นหนึ่งเนื้อสำริด รุ่นสองเนื้อฆ้อง ของหลวงพ่อรุ่นสองทำบนภูเขาพนมอุบาเก็ง ประเทศเขมร ฤาษี ๗ ตนเป็นผู้ทำ เคยเห็นนิมิตเมื่อหลวงพ่อเป็นฆราวาสอยู่จังหวัดยะลา ไปเที่ยวกินน้ำตาลเมากับเพื่อน เขาพาไปในสวนยาง กินแล้วเพื่อนที่ไปด้วยกันเมากลับไม่ได้ นอนหนุนตักหลวงพ่อ เพื่อนที่ไปอีก ๓ คน หนึหมด เหลือ ๒ คน อยู่ในสวนยางมืดหมด จักรยานคนละคันไม่รู้ออกทางไหน ล้วงพระเครื่องอุบาเก็งมาจากคออธิษฐานว่า หลวงพ่อช่วยลูกด้วยเถอะไม่รู้ออกทางไหน ขอให้มีแสงสว่าง อธิษฐานเสร็จแล้วก็ใส่ลงไปในเสื้อ ก็มีแสงสว่างเป็นนีออนรัศมี ๑๐ เมตร มองเห็นทางออกมาได้สบาย พอถึงถนนใหญ่ก็ดับ มีถึงอย่างนี้ แต่ทุกคนถึงอย่างไรก็ตาม ในเมื่อไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าอนุญาตแล้วอย่าไปเอา นั่นมันของฮินดู ของพราหมณ์ที่ปลอมเข้ามาบวชในพุทธศาสนา ตอนที่พระพุทธเจ้าใกล้นิพพานแล้ว พวกฮินดูมันอดอยาก พุทธศาสนากำลังรุ่งเรืองอุดมสมบูรณ์ จึงเข้ามาบวชในพุทธศาสนากันมาก ไม่อดอยาก เมื่อบวชแล้วแทนที่จะปฏิบัติธรรมตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า มันดันเอาวิชาไสยศาสตร์ของมันมาทำด้วย มาทำเครื่องรางของขลังต่างๆ นี่แหละถึงได้เสียหายมาถึงปัจจุบันนี้ แม้กระทั่งพระเถระผู้ใหญ่ก็ยังทำเหรียญทำพระ ก็ยังมีอยู่เลยทุกแห่ง ทำทั้งนั้นแหละ ประกาศลงหน้าหนังสือพิมพ์ขายพระเครื่อง เดี๋ยวนี้เขาไม่พูดว่าให้เช่าแล้ว เขาพูดว่าจำหน่ายองค์ละ ๔๙๙ หรือองค์ละ ๕๐๐ บาท มีไว้บูชา แล้วทุกๆ คนที่ปฏิบัติกรรมฐานได้แล้วนี่แหละ เราปฏิบัติธรรมอยู่ทุกวันนั่นแหละ คือ ปฏิบัติบูชา เป็นบูชาที่สูงสุดกว่าใดๆ ทั้งหมด อามิสบูชา เอาข้าปลาอาหาร เอาดอกไม้ธูปเทียนมาบูชา บุญไม่เท่าเราปฏิบัติบูชากัน ฉะนั้นเราทำบุญรู้จักทำ เมื่อทำบุญไม่ถูกต้อง ทำมากแต่ได้ผลน้อย บางทีอาจไม่ได้เลย แล้วก็เสียเงินเสียทองเปล่าๆ การไปซื้อพระมาเราคิดดูซิว่าพระเขามีไว้สำหรับสักการะบูชา ไม่ใช่มีไว้สำหรับขายเป็นสินค้า และเรานับถือพระกันเอามาขายเสียแล้วจะมีคุณค่าอะไร หมดความเลื่อมใสศรัทธา พวกนี้นรกทั้งนั้น พวกขายพระนั่นตามใจพระอะไรก็แล้วแต่เถอะมันไม่ถูกต้อง แล้วสังเกตุดูเถอะพวกเหล่านี้ไม่ร่ำรวย ไปดูที่ห้างร้านบริษัทเขาทำนั่น ไม่มีหรอกมีพระตั้งอยู่ ๓-๔ องค์เท่านั้นเอง ใครจ้างทำก็ทำไปเท่านั้น ไม่มีความเจริญเพราะพระไม่ใช่สินค้า พระพุทธเจ้าที่อุตส่าห์ปั้นองค์ใหญ่ราคาเป็นแสนก็ขายพระพุทธเจ้า แล้วอีกอย่างหนึ่งที่น่าสังเกตว่าใกล้วัดเราไปทางทุ่งคาที่ปั้นพระไว้บนเขา นั่นภาคกลาง ภาคเหนือมีมากตลอดถึงเชียงใหม่มีเยอะ ปั้นพระไว้บนเขา หลวงพ่อนั่งไปดูไปแล้วก็มานึกถึงความเป็นจริงว่า นี่ถ้าพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เราอาราธนาพระองค์ไปนั่งประทับอยู่บนหลังเขาไม่มีหลังคา ไม่มีร่มให้พระองค์กั้นจะไหวหรือ นี่ปั้นพระตากแดดตากฝนก็เหมือนกัน ในเมื่อเราเคารพพระพุทธเจ้า เราต้องมีเครื่องสมมติเป็นของป้องกันฟ้าป้องกันฝน อย่างกลดนี้ก็แทนร่มนั่นเอง หรือฉัตรนี้แทนร่มนั่นเอง ก็พระพุทธเจ้าอยู่ที่นี่ มีองค์พระเจดีย์อยู่ก็จริง แต่พระองค์เป็นมหาบุรุษเป็นปราชญ์เอกในโลก สมควรจะเทิดทูนด้วยของสูง คือ ฉัตร ฉัตรนี้เป็นเครื่องประดับของพระมหากษัตริย์ในโลก อยู่เหนือราชบัลลังก์ที่พระองค์ประทับ ฉัตร ๙ ชั้น เรียกว่า มหาเศวตฉัตร ฉะนั้นพระพุทธเจ้าของเราสูงกว่ากษัตริย์ จึงเทิดทูนใช้ฉัตรมาป้องกันพระเศียรของพระองค์ หลวงพ่อที่ทำอย่างนี้ตอนนั้นคิดจะทำฉัตร ๙ ชั้น เขาว่าถ้าทำฉัตร ๙ ชั้นจะต้องอัญเชิญพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมายกฉัตร หลวงพ่อบอกว่าอัญเชิญพระเจ้าอยู่หัว เราบุญวาสนาไม่ถึงก็อย่าทำเลย พระบ้านนอก แล้วก็อีกอย่างหนึ่งพระเจดีย์นี้เราทำเอง ดำเนินงานเอง เราป็นผู้รักษาศีลไม่ให้ขาด เราปฏิบัติธรรมอยู่ เรายกเองใครจะว่าอะไรเรา ถ้าให้คนมายก คนเรามีศีลแค่ ๕ แค่ ๘ ข้อ ถึงจะเป็นผู้ใหญ่อย่างไหนก็ตาม เกียรตของความเป็นมนุษย์นั้นมันต่างหาก จะเอาเกียรติมาใส่ในพระศาสนาไม่ได้ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์มีเกียรติสูง เราต้องการบไหว้บูชา พะสงฆ์นี้เป็นลูกชาวบ้านจะไหว้พระเจ้าอยู่หัวไม่ได้ นี่เป็นอย่างนี้ พระสงฆ์นี้สูงสุด แม้จะเป็นเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ก็ต้องกราบไหว้ อย่างน้อยก็ต้องพนมมือไหว้ ทีนี้พูดถึงเรื่องฉัตรเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราที่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา เราพยายามทำบุญในสิ่งที่ถูก มีผู้มาถามว่าการจะถวายสังฆท่านให้ถูกต้องทำอย่างไร จะอธิบายให้ฟัง คือ สังฆทานที่ถูกต้องเราต้องนิมนต์พระให้ท่านมารับ หรือไปรับที่บ้านของผู้นิมนต์ ผู้นิมนต์นั้นเขานิมนต์ว่าไปรับสังฆทานที่บ้าน ไม่ใช่นิมนต์ว่าไปฉันแกงเนื้อง แกงปลา ไม่ใช่ แล้วสังฆทานนั้นเป็นอาหารสด ควาว สำหรับฉันในมื้อนั้น ไม่ใช่ไว้ฉันพรุ่งนี้ หรือเก็บไว้ฉันพรุ่งนี้ เช่น ปลากระป๋องหรือเครื่องของชำอื่นๆ เป็นพวกผงซักฟอก สบู่ นำมาถวายเป็นสังฆทานไม่ได้ นี่ให้เข้าใจไว้ แล้วการถวายทั้งภาชนะ เช่น ถวายทั้งถาด ทั้งสำรับก็ได้ หรือถวายแต่อาหารภาชนะไม่ถวายก็ได้ ถ้าเป็นของใหม่พระท่านไม่รู้อาจเข้าใจว่าเขาถวายทั้งสำรับ เราก็ต้องแจ้งให้พระทราบเสีย ขอถวายเพียงอาหาร สำหรับภาชนะนั้นขอคืน พระท่านก็รู้แล้ว พระก็เหมือนกันที่จะไปรับสังฆทานของเราอย่างต่ำต้อง ๔ รูป เอาสามเณรแทนพระก็ไม่ได้ ถ้าพระไหนว่ารับองค์เดียวได้ ก็อย่าทำให้เสียเวลาเลย พระนั้นต้องไปตกนรกกินของสงฆ์ เขาถวายเป็นสงฆ์ ตัวเองไม่ได้เป็นคณะสงฆ์ เป็นหมู่สงฆ์ ไปกินของสงฆ์เข้าก็ต้องตกนรก ตกนรกแล้วก็ต้องเป็นเปรต ๙๑ กัปอีก มันบาปมาก อย่าไปเชื่อที่เขาว่ากัน หลวงพ่อนี้เป็นครูอาจารย์พวกเรา ต้องนำของที่จริงที่แท้มาสอนศิษย์ ของไม่แท้ของไม่จริง เขาว่านั้น ไม่เอา ต้องมีปรากฏในพระไตรปิฏก พระไหนเขาจะเถียงจะว่าอะไร เราพูดให้เขาฟังแล้ว เขาไม่ยอมเชื่อก็ตามใจเขา เราอย่าไปทำก็แล้ว เราไม่ให้ฉันเสียก็แล้วกัน เพราะให้เขาฉันแล้วพระตกนรกเราก็ไม่ได้บุญอะไร เสียอาหารเปล่า เราทำบุญอยากได้บุญใช่หรือไม่ กฐินก็เหมือนกัน ผ้าขาวผืนเดียว หากเย็บสำเร็จเป็นสบง จีวร สังฆาฏิแล้วไปถวาย ไม่ถูกตามพระวินัยของพระ ผ้าขาวผืนเดียวเย็บไว้ได้ แต่เว้นไว้สักคืบสักศอกกว่า ให้พระเย็บเอง เพราะกฐินนั่นพระต้องตัดต้องเย็บเองจีวรนั่น ทีนี้สมัยปัจุบันนี้เครื่องมือการตัดเย็บมีครบ ก็มักทำมาให้สำเร็จหรือย้อมมาให้เสียด้วย ไม่ได้ ไม่ป็นกฐิน ถ้าเอาจีวรที่ย้อมมาเสร็จถวายไม่เป็นหรอกกฐิน พระต้องไปตัดไปเย็บแล้วต้องย้อมเอง ตากแห้งแล้วกลางคืนจึงมากรานกฐินอธิษฐานเป็นเครื่องนุ่งห่ม จึวร หรือสบง สังฆาฏิ แล้วแต่ท่านจะตัดเอา ให้เข้าใจการถวายกฐินต้องมีพระครบ ๕ รูป พระต้องจำวัดอยู่ในวัดนนั้นตลอดพรรษา แต่เขาทำกันเดี๋ยวนี้ พระที่วัดตัวเองไม่พอ มีพระ ๔ รูป ไปยืมวัดอื่นมา ไม่เป็นกฐิน ขืนรับไปก็ไม่เป็นกฐิน เป็นกฐินเถื่อนอย่าทำ พระท่านจะอ้างว่าไม่เป็นไรไม่ได้ ทำบุญให้ได้บุญ นี่พูดถึงการทอดกฐิน การทอดผ้าป่า จะเป็นผ้าสบง จีวรอะไรได้ทั้งสิ้น มันเป็นสมมติ สมัยพุทธกาลนั้น ผ้าหายาก ไม่มีโรงงานทอผ้าเหมือนสมัยปัจจุบัน ทอด้วยมือทั้งสิ้น จึงพวกพราหมณ์ พวกฮินดูต้องนุ่งผ้าขาว ทั้งนุ่งทั้งห่มผ้าขาวทั้งสิ้น และพวกนี้ถือเสนียดจัญไรร้ายแรงมาก เขาถือว่าพรกพราหมณ์ตระกูลสูงรองจากตระกูลกษัตริย์ วรรณะที่สามพวกแพศย์พ่อค้าก็ต่ำกว่าพวกพราหมณ์ วรรณะที่สี่คือ ศูทร พวกกรรมการปัจจุบัน ต่ำกว่าเพื่อน ถ้ากรรมกรหรือศูทร หรือแพศย์นี้เดินเงาทับเอาเครื่องนุ่งห่มของเขาเข้า เขาถือว่าเครื่องนุ่งห่มนั้นใช้ไม่ได้ ต้องทิ้งหรือเผาไฟทิ้ง หรือทิ้งตามกองขยะหรือตามป่า พระไปเห็นเข้าก็บังสุกุลเอามาซักฟอกมาตัดเย็บเป็นสบง จีวร เรียกว่า ผ้าป่า ที่ทิ้งผ้าไว้ในป่าหรือที่บังสุกุล ก็คือผ้าที่เขาพันศพ ห่อศพก็ผ้าขาวอีกนั่นแหละ เอามาซักฟอกให้สะอาด มาตัดมาเย็บเป็นเครื่องนุ่งห่มได้เป็นอย่างดี ปัจจัยที่สี่ยารักษาโรค อย่าเอายาลมยาหอมที่ขึ้นราแล้วไปถวายพระเข้า มีบริษัทห้างร้านขายยาต่างๆ หลวงพ่อเคยเห็น ยาลมเอาไปถวายไม่มีกลิ่นแล้วที่เป็นยาลม กลิ่นยาไม่มีแล้วขึ้นรา อย่าเอาไปทำอย่างนั้นเป็นบาป เรื่องของการถวายยารักษาโรคนี้ มีอยู่ครั้งที่พระพุทธเจ้ายังอยู่ ในขณะที่พระพุทธองค์เสด็จประกาศพระศาสนา ณ กรุงพราณสี พากุละได้เข้าเฝ้าพระบรมศาสดาพร้อมด้วยของหอม ได้สดับฟังพระธรรมเทศนาแล้วเกิดความเลื่อมใส จึงทูลขอบวช ในขณะที่ครองเรือนมีอายุถึง ๘๐ ปี พระพุทธเจ้าก็เห็นว่าอายุมากแล้ว แต่เห็นว่าเป็นผู้มีศรัทธาและร่างกายยังแข็งแรง เมื่อบวชได้เพียง ๗ วัน ในวันที่ ๘ ท่านก็บรรลุพระอรหัตตผล ตั้งแต่วันบวชแล้วท่านไม่เคยนอนเลย คือ ยืน เดิน นั่ง ประพฤติเคร่งครัดในเนสัชชิกธุดงค์ และอารัญญิกธุดงค์ คือ ตั้งแต่บวชไม่เคยจำพรรษาในอาวาสที่อยู่ใกล้บ้านเลย เป็นผู้มีอาพาธน้อยตลอดชีวิต แม้เพียงผลสมอชิ้นหนึ่งก็มิได้เคยฉันเลย ด้วยเหตุนั้นพระบรมศาสดาจึงยกย่องสรรเสริญว่าเลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้มีโรคาพาธน้อย ทั้งที่ท่านแก่แล้ว ท่านไม่นอน บวชอยู่ได้อีก ๘๐ ปี รวมอายุยืนถึง ๑๖๐ ปี จึงนิพพาน เพราะเหตุของอานิสงส์เมื่อสมัยพระพุทธเจ้ากัสสปะเป็นพระพุทธเจ้า พราหมณ์ผู้นี้ท่านบวชเป็นฤาษีอยู่ ครั้งนั้นมีพระสงฆ์อาพาธเป็นโรคผื่นคันทั้งวิหาร ท่านมาพบเข้าจึงกลับไปป่าหิมพานต์ ไปหาเครื่องยาสมุนไพรมาปรุงเข้า รักษาพระที่เป็นผื่นคันจนหายหมด อานิสงส์ที่ท่านทำบุญครั้งนั้นติดมาจนถึงชาติสุดท้าย ที่ท่านเป็นคนไม่มีโรคภัยเพราะท่านถวายยาให้แก่พระอรหันต์ล้วนๆ บุญขนาดไหนล่ะ ฉะนั้นเราจะทำบุญทำทานก็ควรดูพระให้ดี ให้เป็นพระเป็นสงฆ์ ถึงจะเป็นสงฆ์สมมติก็ได้บุญนับไม่ถ้วน พระพุทธเจ้าบอกไว้เป็นสมมติสงฆ์แต่ที่ศีล ๕ ก็ยังไม่มี ไม่ใช่สมมติแน่จำไว้ ไม่ใช่ผ้าเหลืองเป็นสงฆ์สมมติ ไม่ใช่ศีล ๒๒๗ ข้อเป็นสงฆ์สมมติ เราอยู่ใกล้ๆ วัดไหน เราจะทำบุญที่วัดนั้น เย็นๆ ก็เดินเตร่ๆ ไปที่วัดผ่านกุฏิดูท่านนั่งคุยทำอะไรกันอยู่ เราได้ดูเห็นแน่ ความลับปิดไม่มิดหรอก ความลับไม่มีในโลก หรือว่าไปนั่งคุยกับท่านก็ได้ว่าท่านคุยเรื่องอะไร ท่านดูโทรทัศน์ ดูละคร ดูมวยหรือนั่งฟังเพลง ดูก็รู้แหละ ถ้าประกอบด้วยเครื่องเหล่านี้ก็ไม่ใช่พระแล้ว ไม่ใช่สมมติแล้ว ดูละคร ดูมวย ไม่ใช่แล้ว ดูเครื่องขับร้องประโคมดนตรี แม้แต่คนถือศีล ๘ ก็ยังดูไม่ได้ แล้วคิดดูเท่านี้ พระต้องรักษาศีล ๒๒๗ สามเณรก็ต้องรักษาศีล ๑๐ ฉะนั้นธรรมต่างๆ ที่บรรยายมานี้ให้เรารู้จักทำบุญ ๑ ให้เรารู้จักพระ ๑ แล้วหใรรู้จัอภินิหารของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ แล้วให้เรารู้จักอภินิหารที่สำคัญที่สุด เรียกว่า "อนุสาสนีปาฏิหาริย์" คือ เราผู้ปฏิบัติธรรมตามสมถวิปัสสนาตาที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ เราทำเองได้แล้วสั่งสอนผู้อื่นให้ทำตามด้วยนั้น เรียกว่า "อนุสาสนีปาฏิหาริย์" หรืออย่างที่หลวงพ่อแสดงธรรมให้เราฟังกันทุกๆ คน แล้วเกิดความเลื่อมใสศรัทธาเข้ามานับถือพระพุทธศาสนา มาปฏิบัติธรรมกัน เพื่อขัดเกลากิเลส ถึงยังไม่หมดเป็นพระอรหันต์ แต่กิเลสความโลภ, โกรธ, หลงของเรามันก็เบาบางลงเรื่อยๆ โอกาสที่เราตั้งต้นไว้ดี เราก็จะพบของดีทุกๆ ชาติไป พระนิพพานเราก็เข้าใกล้ไปเอง ตามบุญกุศลที่สร้างไว้ดีแล้ว อย่าให้ผิดออกนอกลู่นอกทางทำชั่วข้าเถอะ....
คำสรุปของวันสำคัญวันนี้ ข้อ ๑. งดเว้นแต่การทำชั่วทุกประการ ๒. ประกอบแต่ความดี หรือทำบุญกุศลอยู่เป็นประจำ ๓. ชีวิตรู้จักทำจิตให้สงบทำจิตให้ผ่องแผ้วด้วยวิธีสมถวิปัสสนา ธรรมที่บรรยายมาก็จบลงเพียงเท่านี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้....
หลวงพ่อสรวง ปริสุทฺโธ
วัดถ้ำขวัญเมือง อ.สวี จ.ชุมพร
๗ มีนาคม ๒๕๓๖

ที่มา
http://sites.google.com/site/wattham/rwm-thrrm-brryay/thrrm-wan-makhbucha

No comments: