Thursday, July 29, 2010

ขันธ์โลก

ขันธ์โลก

ธรรมที่เราปฏิบัติกันอยู่ทุกๆ คนนี้ พระพุทธเจ้าสอนว่าให้เราทุกคนเรียนให้รู้จักโลก โลก ในธรรมะไม่ใช่แผ่นดินกลมๆ ที่ลอยค้างฟ้าอยู่กลางอากาศนั่น แต่หมายถึงว่า ตัวเรานี้แหละเป็นโลกขันธ์ ๕ ทั้งหมดนี่แหละเป็นโล เรียกว่า "ขันธ์โลก" ที่นี้ที่เราจะต้องรู้จักเป็น ความจริงภายในขันธ์นั้น โดยเฉพาะเรื่องกายของเรานี่ คนเราทุกๆ คนนั้นที่หนาแน่นด้วยกิเลส ด้วยไม่มีปัญญามองเห็นว่ากายของเรานี้มันสวยมันงามทั้งนั้น มันมีผิวพรรณน่ารักน่าใคร่น่าพอใจ อยากได้ น่าได้ น่าลูบน่าคลำ เห็นเป็นอย่างนั้น ไม่ได้รู้ถึงความเป็นจริงว่ามันประกอบด้วยอะไร? ที่จริงของมันนั้นที่มันเป็นรูปอยู่ได้ เราก็จะต้องรู้ตามที่พระพุทธเจ้าสอน และตามความเป็นจริงที่มันมีอยู่นั้นมันประกอบด้วย ธาตุทั้ง ๔ มาประชุมรวมกันเข้า คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ใน ๔ อย่างนี้นั้นมันมันมาสามัคคีกันอยู่ มันยังไม่รวมกัน มันยังไม่แตกสามัคคีกัน มันมีกำลังเท่าเทียมกัน มันจึงปรุงแต่งให้กายของเรานั่นอยู่เป็นตัวเป็นตน เดินได้ พูดได้ ทำการงานได้ กินข้าวได้ นอนได้ อะไรเหล่านี้ มันเพราะธาตุทั้ง ๔ มาประชุมกันโดยมีเจ้านายใหญ่เป็นผู้รับผิดชอบดูแลในรูปในกายนี้ คือ วิญญาณขันธ์ หรือ จิตใจ หรือที่เรียกว่า จิตก็เรียก มโนก็เรียก มนัสก็เรียก มโนวิญญาณก็เรียก บัณฑรก็เรียก ชื่อของจิต นี่แหละเป็นตัวเจ้านายใหญ่ที่เรียกว่า เป็นเจ้าชีวติ เป็นผู้อำนวยการใหญ่อยู่ในโลกนี้
ทีนี้ผู้อำนวยการใหญ่ หรือเจ้าของโลกนี้ก็แบกเอาความไม่รู้มาด้วยที่เรียกว่า อวิชชา มันจึงทำให้หลงใหลใฝ่ฝัน มารัก มาชอบ มาติดในรูปว่าสวยว่างามน่ารักใคร่ อยากจะได้เป็นของตน รูปของตนเองก็รักของตนเองอยู่แล้วยังจะไปรับรูปของผู้อื่นเข้ามาอีกด้วยจน กลายเป็นราคะ คือ ความใคร่เพื่อการส้องเสพ นี่แหละแล้วมันก็มีหมักหมมอยู่อย่างนี้ ที่เราไม่รู้จักตัวของเราว่าประกอบด้วยอะไร และที่สำคัญก็ที่ว่ากายของเรานี้ที่มันปฏิสนธิตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาจนโต ใหญ่ ๙ เดือน ๑๐ เดือน คลอดออกมาเป็นทารก จนเป็นวัยเด็ก จนเป็นวัยรุ่น จนเป็นวัยหนุ่มสาว จนเป็นวัยกลางคน จนเป็นวัยคนแก่คนชรา จนสุดท้ายก็ลงไปสงบอยู่ในโลงศพให้พระได้สวดพระอภิธรรมกัน ต่อจากนั้นก็นำเข้าไปสู่เชิงตะกอนเผา หรือที่ไม่มีทุนทรัพย์ที่จะทำได้ก็นำไปฝังไว้ก่อน หรือที่มีทุนทรัพย์มากๆ ยังไม่อยากทำลายเก็บไว้นานๆ ๖ เดือนบ้าง ปีบ้าง สองปี สามปีบ้าง ฝากไว้ที่วัดเสียค่าเช่าที่เขาเก็บศพไว้ทำบุญ หรือศพของบางคนที่ญาติพี่น้อง ลูกเต้า ไม่ใคร่จะปรองดองกัน ขัดแย้งกัน แก่งแย่งกัน ไม่ยอมให้ทำหรือชิงศพที่จะไปทำก็มีนี่ เพราะมันพาดพิงถึงว่ามรดกตกทอด ถ้าใครทำคนนั้นก็จะได้มรดกอะไรอย่างนี้นี่แหละ ลงสุดท้ายมันก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น
โลกของเราที่พระพุทธเจ้าสอนว่า ใหเห็นกายในกายอยู่เนืองๆ ที่เราลืมตาอยู่นี่โลกอื่นเราก็มองเห็นอยู่ โลกเราเราก็มองเห็นอยู่ ที่มันแข็งๆ ตึงๆ มีขน มีผมอยู่นี่เป็นรูปของกายเราก็ว่าเป็นตัวตนของเรา แต่ทนี้มาถูที่ตัวมันก็อุ่นๆ ที่อุ่นๆ ร้อนๆ ก็เรียกว่าไฟ ที่ในปากของเรา ที่น้ำมูกของเรา ที่ปัสสาวะออกมา ที่เหงื่อออกมาก็เรียกว่าน้ำ แล้วลมนั่น ที่นังอยู่ก็ตาม ที่นอนอยู่ก็ตาม ทำงานอยู่ก็ตาม มันต้องหายใจเข้าหายใจออกตลอด เพียงนาทีเดียวถ้าไม่หายใจมันก็สลบไปแล้ว ถึง ๕ นาที มันก็ตายแน่นอน นี่ธาตุทั้ง ๔ ที่มันอยู่กันได้ก็เพราะว่าเป็นผลของกุศลกรรม กุศลกรรมที่สร้างมา มันให้มาประมวล ให้มารวมกลุ่มกัน คือภาษาธรรมะเรียกว่า สหรคต คือ มารวมกันเป็นก้อนหนึ่งที่จัดเป็นพวกดินก็ มี ๓๒ อย่าง ที่เรามาว่า....เกศา โลมา...ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี่เอาเพียง ๕ ย่อมา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ตับ พังผืด ได ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย ตลอดจนถึงอุจจาระ นี่ก็เป็นพวกดินเหมือนกัน
ในตัวเราทั้งหมด ถ้าเรามีปัญญาเราก็จะรู้ว่ามันทุกๆ ขุมขนจะบนศีรษะของเรา จะในร่างกายของเรา ในส่วนที่มีผ้าปกคลุม หรือในส่วนที่เปิดเผย เช่น ปลายมือปลายเท้า หรือแค่คอ แค่หน้า มันตรงไหนก็ไม่มีความสะอาด มีแต่ความสกปรกโสโครกทั้งสิ้น มนุษย์ที่อาบน้ำเพียงวันละครั้งสองครั้งนี้มันก็ยังเหม็นสาบอยู่นั่นแหละ เพราะเหงื่อนี้มันออกอยู่ตลอดเวลา เมื่อเหงื่อออกมาเครื่องนุ่งห่มที่สวมนั่นลองสวม ๓-๔ วัน ดูเถอะ แล้วเอามันมาดมดู มันมีกลิ่นอย่างไร มันมีกลิ่นทะแม่งๆ บางคนก็กลิ่นจัดฉุนเฉียวแทบคลื่นไส้ทีเดียว นี่แหละไม่มีตรงไหนที่สะอาด จะล้วงเข้าไปในจมูกก็ขี้มูก ขี้มูกเป็นก้อนดำแล้วว่ามันน่ารักตรงไหน เอาไม้ไปแคะขี้ฟันจิ้มออกมาแล้วก็ดมดูซิ ก็มีกลิ่นเหม็นยิ่งกว่าส้วม น้ำลายที่บ้วนออกมาก็มีกลิ่นเหม็นทั้งนั้น ปัสสาวะอุจจาระก็มีกลิ่นเหม็นทั้งสิ้น แล้วก็ในท้องในไส้ในกระเพาะของเรา อาหารที่กินลงไปทุกวันๆ มันลงไปคลุกไปเคล้าให้ธาตุไฟมันย่อยภายในกระเพาะและลำไส้เล็กลำไส้ใหญ่จน เหลือเป็นกาก ไอ้ที่อยู่ในกระเพาะนั้นมันก็เหม็น ที่มันไม่ส่งกลิ่นออกมาภายนอกทางปากได้ เพราะธรรมชาติมันสร้างไว้ดี มันมีเสลดก้อนใหญ่ปิดอยู่ที่หลอดอาหาร มันปิดคลุมอยู่หมด อากาศระเหยขึ้นมาไม่ได้ นอกจากบางครั้งที่เรอขึ้นมานั่น หมายความว่า มีช่องว่างขึ้นที่เสลดนั่นมันก็เรอขึ้นมา เช่น กินข้าวอิ่มๆ มันก็เรอขึ้นมา หรือท้องขึ้น ท้องเสีย ท้องอืด เรอขึ้นมาเหม็นเปรี้ยว เหม็นมากนั่น หรือคนที่เคยเป็นหมอเขาผ่าศพแล้วก็ดูเข้าไปในท้องในไส้ หรือเราไปดูสัตว์เดรัจฉานที่เขาทำหมูหรือควาย วัว ก็ตาม ดูซิในช่องท้องมีอะไรบ้าง มีกระดูกซี่โครงหุ้มอยู่ มนุษย์เราก็เหมือนกันอย่างนั้น แล้วมันไม่มีตรงไหนที่มันเรียกว่าตรงไหนที่มันน่ารักบ้าง แต่เราก็ยังรักมัน มันรักตรงที่หนังมันหุ้มพวกเหล่านี้อยู่ แล้วก็หาเครื่องมาบำรุงบำเรอ แป้งบ้าง น้ำหอมบ้าง น้ำอบบ้าง สีต่างๆ บ้าง เอามาทาเอามาแต้ม เอามาเขียนให้มันวิจิตรขึ้น จนถึงว่าขอบตาชั้นเดียว เช่น พวกคนต่างชาติบางพวกเขาขอบตาชั้นเดียวไม่งามไปผ่าตัดตกแต่งให้มันเป็นสอง ชั้น เพื่อให้ยั่วยวน เพื่อให้เขารัก จะได้ไปอยู่กับเขา เขาจะได้มาขอหรือเขาจะได้มาชอบพอ มาเกี้ยวพาราสีเอาไปเป็นเมีย ก็ตกแต่งทั้งสวยทั้งงามทั้งวิเศษที่สุด พอหมดลมปุ๊บทันใดนั้นเข้าใกล้ก็เกือบไม่เข้าใกล้แล้ว พยายามไปถูกที่ตัวเย็นเจี๊ยบก็ฝืนๆ ถูกทั้งนั้น ไอ้ที่ร้องไห้นั่นบางทีมันก็มีเหมือนกันแหละความรักผูกพันที่ว่าเคยอยู่เคย กินกันมา เคยเรียกว่ารักใคร่พอใจ ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้ง รักคุณงามความดีก็ร้องไห้ แต่ว่าไอ้รูปที่หมดลมหายใจแล้ว หมดธาตุไฟแล้ว ยังเหลือแต่ธาตุดินที่จะเน่าจะเปื่อยไป ธาตุน้ำก็จะมีแต่ไฟลอกมาหยดเละเทะเป็นสีน้ำตาลสีขุ่นมีกลิ่นเหม็นฟุ้ง ตอนนี้ไม่เอาแล้ว จ้างให้เอาอีกก็ไม่เอา ให้เอามาเก็บไว้หรือเอามานอนด้วยจ้างอีกสักเท่าไรก็ไม่เอาแล้ว หมดรัก ตอนนี้หาใหม่ต่อไป ไม่เข็ดเพราะว่ามันเห็นว่ามันดี เห็นว่ารูปมันดี ทีนี้พระพุทธเจ้าว่าให้เรามองดูตามความเป็นจริงว่ามันเป็นอย่างนั้น การที่เราจะเบื่อหน่ายต่อขันธ์ของเรา เราก็ต้องดูรูปเรา เราให้เห็นกายในกายเนืองๆ นึกอยู่ให้เห็นผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก หัวใจ ตับ ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อยต่างๆ เมื่อมันนึกอย่างนี้ นั่งทำวิปัสสนานึกให้เห็น เมื่อมันเห็นแล้ว เมื่อมันเห็ยกายในกายอยู่เนืองๆ แล้วทีนี้มันก็เห็นความเปลี่ยนแปลงของกายที่เห็นนั่น ตอนแรกก็เห็นเป็นรูปเป็นร่างเป็นตัวคนเราดีอย่างนี้แหละ เห็นเป็นตัวยังสดยังชื่นนี่แหละ แต่เมื่อจิตของเรามันเกิดความเบื่อหน่ายต่อรูป มันก็จะเห็นไปอีกสภาพหนึ่งว่าตัวเราเองนั้นตาย ตายเป็นซากศพ มันค่อยพองขึ้น สีน้ำตาลเกิดขึ้น สีเขียวเกิดขึ้น จนกระทั่งน้ำเน่าไหลออกมา มีหนอนชอนไชกินอยู่ ตาก็โบ๋ มองไปตรงไหนมันก็พองอืดไปทางนั้น ผมก็หลุดออกมาเป็นเส้นๆ ขนก็หลุดออกมาเนื้อหนังปริแตกแยกเน่าเปื่อย ตอนนี้จิตของเรายิ่งสลดมาก
ฉะนั้นการเห็นกายในกายมันอยู่ใน สติปัฏฐาน ๔ เรา มีสติ ถ้าพบอย่างนั้นเห็นอยู่ก็อย่าได้กลัวได้เกรง การที่เราจะเบื่อหน่ายก็ต้องเห็นถึงความเป็นทุกข์นี่แหละ เห็นความสกปรกโสโครกที่มีอยู่ในตัวเรานี่แหละ ถ้าว่าตัวเรามันหอมอยู่เรื่อยแล้วมันก็รักอยู่เรื่อยแหละ ถ้ารู้จักตัวเรานี้มันเหม็นตรงไหนๆ นี่มันก็เหม็นทั้งนั้น ที่มันไม่เหม็นก็เพราะชำระล้างด้วยน้ำ บางคนที่เป็นกรรมเป็นเวรของเราเหมือนกัน ทั้งอาบน้ำทาแป้ง และใส่น้ำหอมด้วย แต่ไปดมดูที่ตัวเถอะ เหม็นหืนก็มี ซึ่งทางโลกที่ถือชั้นวรรณะเขาเรียกคนประเภทนั้นว่า พวกกาลกิณี พวก คนชั่วใครได้ไปเป็นลูกเป็นเมีย คนเช่นนั้นเขาว่าทำกินไม่เกิด ทำอย่างไรก็ไม่มีเหลือ ไม่พอกิน ไม่พอใช้ เพราะเกิดมามันอัปลักษณ์มันต่ำทราม เศษของกรรมในอดีตติดมา เดินผ่านหน้าผู้ใดไปกลิ่นกายของตนในระยะหนึ่งวาผ่านไปถึงเขาได้ ทั้งๆ ที่อาบน้ำมาใหม่ๆ เหม็นกลิ่นคาว
ทีนี้บางจำพวกที่เขา สร้างบุญไว้ดี ถึงแม้ไม่อาบน้ำ กลิ่นกายของเขาก็หอมเหมือนเกสรดอกบัว นี่ก็มี....มีเหมือนกัน นั่นเขาสร้างบุญสร้างดุศลเป็นผู้รักษาศีลดี มีใจเป็นธรรม มีใจไม่ผูกพยาบาทอาฆาต ไม่โหดร้าย ไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่น จิตใจผ่องใส ศีลสะอาดบริสุทธิ์ มีวาจาอ่อนหวานไม่หยาบคาย พวกเหล่านี้ที่เกิดมามีลักษณะเช่นนั้นก็ไม่เกิดในตระกูลที่ต่ำเสียด้วย เพราะเขาสร้างบุญกุศลมาดีก็เกิดในตระกูลที่สูง ก็ย่อมเป็นที่ต้องการของคนสกุลสูง นี่แหละ แต่ลงสุดท้าย ทั้งๆ ที่ว่าเดินผ่านไปกลิ่นหอมเหมือนดอกบัว แต่พอหมดลมหายใจเมื่อไรก็เหม็นเหมือนกันทั้งนั้น ไม่มีใครสักคนที่ไม่เหม็น เน่าเปื่อยทั้งสิ้น แล้วเราทุกคนก็จะต้องวนเวียนเกิดอยู่เช่นนี้ในวัฏฏะ ไม่มีจบ ไม่มีสิ้น
ฉะนั้นเราควรจะ มีปัญญา หรือยังคิดออกจากโลกกันไหม หรือคิดว่าเราจะอยู่ในโลกเรื่อยๆ ไป ชาตินี้ก็อยู่ ชาติหน้าก็อยู่ ชาติโน้นก็อยู่ ชาติต่อๆ ไปนั้นก็อยู่ มันสนุกดี มันก็ได้เหมือนกัน ผู้ที่คิดเช่นนั้น แต่อย่าลืมนึกถึงความเป็นจริงให้ได้ ถ้าเราจะชำระจิตของเราให้สะอาดบริสุทธิ์ อย่าอคติ มองตามความเป็นจริงแล้วมันไม่น่าอยู่เลย เพราะว่ามันมีแต่ความทุกข์ตลอดกาล ทุกข์ของการเกิด เป็นทุกข์ซ่อนเร้น มองไม่เห็น เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันอยู่เท่านี้ มันวนอยู่นี่ จะเป็นสัตว์เดรัจฉานก็เกิด แก่ เจ็บ ตาย จะเป็นเทวดาก็เกิด...ก็ตาย จะเป็นสัตว์นรกก็เกิด...ก็ตาย ตายทั้งนั้น ตายแล้วก็เกิดอีก กรรมไม่หมด เราก็เหมือนกัน เมื่อสร้างกรรมดี กรรมชั่ว หรือกรรมดำ, กรรมขาว เมื่อสร้างอยู่มันก็วนเวียนอยู่อย่างนั้น
ทีนี้คน เราที่จะสร้างแต่กรรมดีตลอดไปนั้น ในบางครั้งบางคราวมันถูกบีบคั้นจิตของเรา หักห้ามต่อโทสะไม่ได้ ลุล่วงแก่อำนาจจิตใจไปทำผิดทำชั่วเข้าก็ได้รับบาปมา ไม่ใช่ว่าเราคิดว่าเราจะทำดีแต่กรรมดีอย่างเดียว ทำแต่บุญอย่างเดียว เราคิดนั้น เราคิดว่าอย่างนั้น แต่ในสภาพบางครั้งเราอาจจะต้องทำความชั่ว เพราะสิ่งแวดล้อมบ้าง หรือบางทีเกี่ยวกับอาชีพบ้าง หรือเกี่ยวกับว่าเกิดมายากจนบ้าง มันทำไม่พอกินเผลอไผลเห็นใครเผลอเข้ามันก็ไปหยิบไปฉวยของผู้อื่นมาเป็นของตน เกิดเป็นอทินนาทานาขึ้นมา มันเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นการเกิดของเราไม่ใช่ว่าเราจะเกิดแล้วจะมีปัญญาความรู้ตามความเป็นจริง อย่างที่พระพุทธเจ้าสอน ที่เราได้ยินได้ฟังอยู่นี้ เราเป็นผู้มีโอกาสดีต่างหากที่ได้มาพบธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่มีอาจารย์เป็นผู้สั่งสอนอยู่ตลอดเดือนตลอดปี อย่างที่ทุกๆ แห่งเขาจะสอนอยู่อย่างนี้มันมีที่ไหน มันไม่มี น้อยมาก ได้แต่วันพระ ๘ ค่ำ หรือเขานิมนต์ไปในที่ต่างๆ ไปแสดงธรรมนั่งธรรมาสน์ เขามีพวกเหล่านั้น เขามี หรืออย่างไปแสดงธรรมทางวิทยุนั้นมี ๗ วันครั้ง ๆ การที่ได้ฟังทุกวัน นอกจากบางวันรู้สึกเบื่อหน่ายก็ไม่แสดง ฉะนั้นคือการแสดงธรรมไปแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง หมายความว่า เราผู้ฟังธรรมนี้รับนำไปใช้ ไม่ใช่ฟังไว้เพื่อประดับความรู้เท่านั้น เรานำไปใช้แล้วมันจะเกิดลาภเกิดผลแก่เรา ได้ผลแก่เราเอง เราจะได้รู้จักโลกดีขึ้น เมื่อเรารู้จักโลกเราดี เราก็จะไม่หลงใหลในโลกอื่นจนลืมตน เมื่อเราไม่หลงในโลกของเราแล้ว เราก็ไม่หลงในโลกอื่น การที่เราไปหลงในโลกอื่นอยู่ก็เพราะเราหลงโลกของเรานั่นเอง
ฉะนั้น ผู้มีสติปัญญา ย่อมใช้สติปัญญาพินิจพิเคราะห์ตรึกตรองหาข้อเท็จจริง หามูลความจริง หาเหตุหาผล เมื่อฟังแล้ว ไม่ฟัง ไม่หาเหตุ ไม่หาผล หรือฟังแล้วก็เบื่อหน่ายเสีย ไม่รู้จะฟังไปเอาอะไร ไปทำอะไร เรามันทำไม่ได้ เรายังจะต้องไปหากินในโลกอีก อะไรเหล่านี้ ถึงจะหากินที่ไหนก็ตาม ธรรมะของพระพุทธเจ้านำไปใช้ได้ทั้งสิ้น นอกจากจะไปหากินทางมิจฉาทิฏฐินั่นนำไปใช้ไม่ได้ ถ้าหากินทางสัมมาทิฏฐิแล้วนำไปใช้ได้ทั้งสิ้น เพราะธรรมะนี้ช่วยได้ทั้งโลกโลกียะแล้วก็ช่วยไปได้ถึงสูงสุด คือ โลกุตตระ รรมะของพระพุทธเจ้าก็แบ่งเป็นหมวดเป็นหมู่ ขั้นต้นสำหรับโลกียะ ขั้นกลางสำหรับสามัญชน ขั้นสูงสำหรับอริยชน แบ่งเป็นชั้นๆ ถึง ๓ ชั้น ปุถุชน สามัญชน อริยชน แบ่งเป็น ๓ ชั้น ฉะนั้นอย่างไรเราก็พยายามที่จะยกระดับของเราให้พ้นจากปุถุชนให้ได้ แล้วก็หมายความว่าชาตินี้ที่เกิดมาได้พบพระพุทธศาสนาไม่เป็นการเสียหลายเลย เป็นผู้มีโชคดีมาก
การ เป็นสามัญชนนั้นเป็นอย่างไร? ก็คือการรักษาศีล ๕ นี่แหละให้ได้อยู่ แล้วศีลอุโบสถในบางโอกาส แล้วก็ทานไม่ทอดทิ้ง แล้วโดยเฉพาะภาวนา คือ หลักสมาธินี้ไม่ทิ้งเด็ดขาด วันนี้ได้พบศิษย์คนหนึ่งที่มาบวชที่นี่ ติดกัญชามาก่อนบวช แก้กันเสียพอได้ ออกไปแล้วก็ยังเอานิดหน่อยเขาว่า แต่เดี๋ยวนี้เลิกได้เด็ดขาดแล้ว วันนี้มากราบไหว้ นำของมาถวาย ระลึกถึงบุญคุณที่ได้สั่งสอนอบรมไป ซึ่งพ่อของเขานั้น เมื่อก่อนคิดจะยิงเสียให้ตาย เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร แต่มันกลัวติดตะราง แล้วนี่อาจารย์ไปแก้ให้ ด้วยความดีของธรรมะช่วยได้ เดี๋ยวนี้มีครอบครัว มีลูกคนหนึ่งแล้ว ผิวพรรณผ่องใสแล้วไม่เหมือนก่อน แล้วถามเขาว่า "ยังเอาอีกไหมเดี๋ยวนี้" "ไม่เอาอีกแล้วครับ หยุดเด็ดขาดแล้ว" นี่เพราะผลของการฟังธรรมแล้วนำไปปฏิบัติตามจึงให้ผลความสุขแก่ตน แล้วก็เป็นผู้มีกตัญญูกตเวที ระลึกถึงพระคุณที่สั่งสอนนั้น พร้อมด้วยกตเวที มากราบไหว้บูชาด้วยอามิสของสมณะที่ควรใช้ แล้วมารดาของเขาก็ยังปวารณาถวายสังฆทานในวันที่ ๑๘ นี้ด้วย นี่เห็นไหม นี่คือผลของธรรมที่ช่วยคนตกลงไปในปลัก ตกลงไปในเหว เรียกว่าเกือบขึ้นไม่รอดแล้ว อุตส่าห์ดึงมือขึ้นมา เกือบจะไม่รับแล้วในตอนแรก แต่ทว่าเห็นแก่พ่อแม่ของเขาก็รับไว้ สั่งสอนอบรมได้ ใช้ได้ ไม่ได้ไปเฆี่ยนไปตี ไม่ได้ไปพบอยู่ทุกวัน นี่ ๓ ปีที่สึกไปเพิ่งมาพบวันนี้
ฉะนั้นเราทุกคนฟังแล้วจดจำนำไปใช้ อย่าเพียงแต่จำเอาไว้ นำไปใช้ ตนนั่นแหละใช้ประพฤติหฉิบัติตาม ผลมันจะสนองให้เราเอง
หลวงพ่อสรวง ปริสุทฺโธ
วัดถ้ำขสัญเมือง อ.สวี จ.ชุมพร
๑๐ กันยายน ๒๕๒๖

ที่มา
http://sites.google.com/site/wattham/rwm-thrrm-brryay/thrrm-wan-makhbucha/khanth-lok

No comments: