Saturday, March 10, 2007

หนี้บุญ (กุศล)


บุญ" ถ้าเจ้าไม่เคยสร้างไว้ ใครที่ไหนเล่าจะมาช่วยได้
ลูกเอ๋ย ก่อนที่เจ้าจะเที่ยวไปอ้อนวอนขอพึ่งบารมีหลวงพ่อองค์ใดองค์หนึ่ง เจ้าจะต้องมีทุน (บุญ) ของตัวเอง เป็นทุนเดิมติดตัวไปบ้างก่อน ต่อเมื่อบารมีของตัวเจ้าเองยังไม่พอ จึงขอร้อง ยืมบารมีของผู้อื่นมาช่วยเหลือ ถ้ามิฉะนั้นแล้วเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะเจ้าจะต้องเป็นหนี้บุญบารมีที่เจ้าร้องขอ หรือยืมคนเขามาจนล้นพ้นตัว ครั้นเวลาใดที่เจ้ามีโอกาสทำบุญทำกุศลบ้าง เรียกว่า พอจะมีบุญบารมีเป็นของตัวเองบ้าง เจ้าก็จะต้องไปผ่อนใช้หนี้ที่เจ้าเคยขอร้องยืมเขามาจนหมดสิ้นแทบไม่เหลือสำหรับตัวเอง แล้วเจ้าจะมีบุญกุศลใดติดตัวไว้จุนเจือตัวเองในภพหน้าที่ยังจะต้องเวียนว่ายตายเกิด อันเป็นวัฏฏทุกข์ที่เราพุทธศาสนิกชนทั้งหลายจะต้องรับรู้ รับทราบ ถ้าเรามั่นใจในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนั้น เจ้าจงหมั่นสะสมบุญทั้ง ทาน ศีล ภาวนา ไว้อย่างสม่ำเสมอ เทพยดา ฟ้าดินจะเอ็นดูช่วยเหลือเจ้าเอง

จงจำไว้เถิดว่า เมื่อได้ทำบุญทำกุศลแล้ว อย่าคิดว่าจะได้รับผลนั้นทันที จะทำให้จิตใจหดหู่ท้อถอย แต่จงมั่นใจเถิดว่า ผลบุญนั้นไม่สูญหายไปไหน เพราะการให้ผลของ "กรรม" นั้น จะทำให้ผลตามกำหนดถ้ายังไม่ถึงเวลาที่ส่งผลแล้ว แม้แต่เทพเจ้าหรือผู้มีฤทธิ์องค์ใด ที่เจ้าไปขอร้องให้ช่วยเหลือ ก็ไม่สามารถให้ผลนั้นเกิดได้ แต่เมื่อถึงเวลาที่จะให้ผล ทั่วฟ้าดิน ก็ต้านทานผลของกรรมนั้นไว้ไม่อยู่

ฉะนั้น จงเตือนใจไว้เสมอว่า ถ้าประสงค์ความสุข ความเจริญ โภคสมบัติ จงหมั่นสร้างบุญ สร้างกุศลไว้อย่างสม่ำเสมอ มากบ้าง น้อยบ้าง ตามกำลังศรัทธา เพราะเราไม่อาจจะรู้ได้ว่า อดีตชาติเราได้สร้างบุญหรือสร้างบาปไว้มากน้อยเพียงใด และผลของกรรมใดจะส่งผลก่อนหรือหลัง เพื่อความไม่ประมาทจึงควรจะสร้างบุญกุศลเป็นการเพิ่มเติมไว้เสมอ ถ้าอดีตทำไว้มากแล้ว ก็จะยิ่งมีมากขึ้น ย่อมให้ผลก่อนที่มีกำลังน้อยกว่า อันเป็นกฎธรรมชาติของกรรม ฉะนั้น ด้วยความไม่ประมาท จงระลึกไว้ว่า ถ้าตนเองไม่สะสมไว้แล้ว ใครที่ไหนจะช่วยเจ้าได้ เจ้าจะมีอะไรไว้เป็นทุนเดินทางเวียนว่ายในวัฏฏทุกข์ที่ยังต้องผจญต่อไป ไม่รู้ว่าจะจบสิ้นเมื่อไหร่ จงระลึกไว้เสมอว่า เจ้าสะสมเตรียมตัวไว้เดินทางแล้วหรือยัง จะรอให้คนอื่นทำไปให้นั้น จะมั่นใจดีเท่ากับเราเตรียมหาไปเองหรือ

ดังพุทธสุภาษิตท่านสอนไว้ว่า "อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ - ตนนั่นแหละ เป็นที่พึ่งแห่งตน"
นี่คือคำเทศนา ของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี ที่ได้โปรดชี้ธรรมไว้ในนิมิตหลังจากที่ท่านได้ล่วงลับไปแล้วเมื่อ ๑๐๐ กว่าปี อันเป็นปฐมเหตุที่ต้องสร้างความดีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

No comments: