Saturday, March 10, 2007

บทสวดสรรเสริญพระรัตนตรัย

๑. พุทธคุณ
อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะ สัมปันโน สุคะโต โลกะวิทูอนุตตะโร
ปุริสะธัมมะสาระถิ สัตถาเทวมนุสสานัง พุทโธภะคะวาติ

๒. ธรรมคุณ
สวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหิติ

๓. สังฆคุณ
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆอุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทังจัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะปุริสะปุคคะลาเอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆอาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ

คำแปล
พุทธคุณ – แม้เพราะอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นพระอรหันต์ผู้บริสุทธิ์เป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอนผู้อื่นควรได้รับความเคารพบูชา เป็นผู้ตรัสรู้ชอบเอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชาและความประพฤติ เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ฝึกได้ ไม่มีใครยิ่งไปกว่าเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ตื่นและเบิกบานแล้ว และเป็นผู้จำแนกแจกธรรม

ธรรมคุณ – พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว อันผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง ไม่ขึ้นอยู่กับกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน

สังฆคุณ – พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ปฏิบัติดี เป็นผู้ปฏิบัติตรง เป็นผู้ปฏิบัติถูกทาง เป็นผู้ปฏิบัติสมควร เป็นผู้ควรแก่ของคำนับ เป็นผู้ควรแก่การต้อนรับ เป็นผู้ควรแก่ของทำบุญ เป็นผู้ควรแก่การทำอัญชลีกราบไหว้ เป็นนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลก


ระลึกถึงคุณแห่งพระพุทธเจ้าที่ทรงสะสมบารมีนับชาติไม่ถ้วนเพื่อมาตรัสรู้เป็นพระผู้รู้ สมณโคดมพุทธเจ้า...
แต่ก็มิได้ทรงเสวยสุขนั้นเพียงผู้เดียวแต่กลับทรงลำบากตรากตรำสั่งสอนเหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลายให้รู้ถึงความจริงจนแม้แต่วาระสุดท้าย ก็ยังทรงสั่งสอนให้เราทุกคน ระวังตนไม่ให้ตกอยู่ในความประมาท
จะมีครูผู้ใดที่ยิ่งใหญ่ และเสียสละเท่านี้อีกหรือ...

และอีกบทที่พระจะสวดให้เราฟังบ่อยๆเห็นคนก็รับ สาธุๆๆแต่รู้ความหมายกันไหม..

สีเลน สุคตึ ยนฺติ สีเลน โภคสมฺปทา สีเลน นิพพุตึ ยนฺติ ตสฺมา สีลํวิโส ทเย

แปลศีลทำให้เราเข้าถึงสุคติ ศีลก่อให้เกิดโภคทรัพย์ และศีลนำมาให้ได้ถึงความดับ หรือพระนิพพาน ด้วยเหตุฉะนี้ จึงควรรักษาศีลไว้ด้วยดี

บทนี้ท่านสอนให้เรารู้คุณแห่งศีลแม้เพียงแค่ศีล 5 ก็ทำให้เราเป็นผู้มีความสุข มีทรัพย์และเป็นเหตุทำให้ใกล้ถึงนิพพานได้แล้ว อย่าคิดว่ามันโอเว่อร์ เป็นไปไม่ได้นะอย่างน้อยผู้มีศีล ก็ยังเข้าใกล้ความสุขความเจริญกว่าผู้ไม่มีศีลอย่างแน่นอน
เราจึงควรเป็นผู้มีศีล อย่างน้อย 5 ข้อ คือ
๑. ปาณาติปาตา เวรมณี งดเว้นจากการทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป
๒. อทินนาทานา เวรมณี งดเว้นจากการถือเอาของที่เจ้าของมิได้ให้
๓. กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม
๔. มุสาวาทา เวรมณี งดเว้นจากการกล่าวเท็จ
๕. สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี งดเว้นจากการดื่มสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท

..อย่าเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย หรือเรื่องไกลตัวหากเรายังกล้าพูดได้เต็มปากว่า นับถือศาสนาพุทธก็อย่าให้นับถือแต่ชื่อ หรือพิธีกรรมประหลาดนอกศาสนาควรศึกษาให้รู้ถึงแก่นแท้ และน้อมนำมาใส่ตนเพราะพระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว อันผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง (ถ้าปฏิบัติ จะเห็นชัดด้วยตนเอง)ไม่ขึ้นอยู่กับกาล (สามารถพิสูจน์ได้เสมอ ไม่มีเก่าเกินไป หรือใหม่เกินไป)ควรเรียกให้มาดู (ควรเรียกให้ผู้อื่นมาศึกษา)ควรน้อมเข้ามาในตน (ควรศึกษาให้ถ่องแท้)อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน (จะเข้าใจได้เฉพาะตน ไม่มีใครบอกให้รู้เห็นตามตนได้)

ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐเพื่อให้เห็นว่า ไม่มีอาภรณ์ใดประเสริฐกว่าศีลไม่มีกลิ่นหอมใด หอมกว่าศีล..
ขอแค่ 5 ข้อเองนะ...

No comments: