Friday, June 17, 2011

มงคลที่ ๖ ตั้งตนชอบ - จนข้ามภพ รวยข้ามชาติ ( ๔ )



ฝ่ายมหา ทุคตะกลับจากวิหารเห็นเหตุอัศจรรย์เช่นนั้น บังเกิดมหาปีติ ขนลุกไปทั่วสรรพางค์ ปลื้มใจว่า ฝนรัตนะ ๗ ประการ ตกเพราะพุทธานุภาพอันไม่มีประมาณ รวมทั้งบุญญานุภาพที่ตัวได้ทำในวันนี้ จากนั้นเขารีบไปยังราชสำนัก พลางกราบทูลพระราชาว่า "บ้านของข้าพระองค์เต็มไปด้วยรัตนะ ๗ ประการ ขอพระองค์ทรงให้ราชบุรุษนำเกวียนไปขนทรัพย์นั้นมาเถิด พระเจ้าข้า"









มงคลที่ ๖

ตั้งตนชอบ - จนข้ามภพ รวยข้ามชาติ ( ๔ )


ทายกก่อนแต่จะให้ทาน เป็นผู้ดีใจ
กำลังให้ทานอยู่ ย่อมยังจิตให้เลื่อมใส
ครั้นให้ทานแล้วย่อมปลื้มใจ นี้เป็นยัญสมบัติิ

เราเกิดมาภพหนึ่งชาติหนึ่ง ต้องตั้งใจสั่งสมบุญบารมีให้ เต็มเปี่ยม ครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังเป็นพระบรมโพธิสัตว์ กำลังสั่งสมบารมีอยู่นั้น พระองค์มิได้หวาดหวั่นต่ออุปสรรคใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม้ต้องสละทรัพย์ อวัยวะ หรือแม้กระทั่งชีวิต พระองค์ไม่ได้หวั่นไหวแต่อย่างใด คิดแต่เพียงว่า เกิดมาภพชาติหนึ่ง ต้องสั่งสมบุญบารมีให้เต็มเปี่ยม เพื่อให้ได้บรรลุเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พวกเราก็เช่นเดียวกัน แม้มีอุปสรรคมาขัดขวางหนทางการสร้างบารมี จงอย่าหวั่นไหว ให้มีใจมุ่งมั่นและก้าวไปสู่จุดหมายปลายทาง เราย่อมจะพบกับความสำเร็จอย่างแน่นอน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ทานสูตร ว่า


"ปุพฺเพว ทานา สุมโน ททํ จิตฺตํ ปสาทเย
ทตฺวา อตฺตมโน โหติ เอสา ยญฺญสฺส สมฺปทาฯ
วีตราโค วีตโทโส วีตโมโห อนาสโว
เขตฺตํ ยญฺสฺส สมฺปนฺนํ สญฺตา พฺรหฺมจาริโนฯ
สยํ อาจรยิตฺวาน ทตฺวา สเกหิ ปาณิภิฯ
อตฺตโน ปรโต เจโส ยญฺโญ โหติ มหปฺผโลฯ
เอวํ ยชิตฺวา เมธาวี สทฺโธ มุตฺเตน เจตสา
อพฺยาปชฺฌํ สุขํ โลกํ ปณฺฑิโต อุปปชฺชติ

ทายกก่อนแต่จะให้ทาน เป็นผู้ดีใจ กำลังให้ทานอยู่ ย่อมยังจิตให้เลื่อมใส ครั้นให้ทานแล้วย่อมปลื้มใจ นี้เป็นยัญสมบัติ ปฏิคาหกผู้สำรวมประพฤติพรหมจรรย์ทั้งหลาย คือ ท่านผู้ปราศจากราคะ ปราศจากโทสะ ปราศจากโมหะ ไม่มีอาสวะ ย่อมเป็นเขตที่ถึงพร้อมแห่งยัญ ทายกต้อนรับปฏิคาหกด้วยตนเอง ถวายทานด้วยมือตนเอง ยัญนั้นย่อมมีผลมาก เพราะตน (ทายกผู้ให้ทาน) และเพราะผู้อื่น (ปฏิคาหก) ทายกผู้มีปัญญา มีศรัทธาเป็นบัณฑิต มีใจพ้นจากความตระหนี่ ครั้นบำเพ็ญทานอย่างนี้แล้ว ย่อมเข้าถึงโลกที่เป็นสุขไม่มีความเบียดเบียนŽ

ผู้มีปัญญาแท้จริง ไม่ใช่วัดกันที่เชาว์ปัญญาในการศึกษาเล่าเรียน หรือความรู้ความสามารถในการทำงานเท่านั้น สิ่งนี้เป็นเพียงความรู้ที่ทำให้ติดอยู่ในโลก แต่เขาวัดกันตรงที่ใครมีปัญญาช่วยตนเองให้รอดพ้นจากภัยทั้งหลาย ทั้งภัยในโลกนี้และภัยในสังสารวัฏ ไม่พลัดตกไปในอบายภูมิ สามารถดำรงชีวิตอยู่แต่ในสุคติภูมิ และสร้างความดีได้อย่างเต็มที่ คนที่เกิดมาแล้ว ละเว้นความชั่วทุกชนิด ทำแต่บุญกุศล หมั่นทำใจให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ จนได้เข้าถึงความเต็มเปี่ยมของชีวิต อย่างนี้เรียกว่า เป็นผู้มีปัญญาอย่างแท้จริง

ผู้มีปัญญาไม่จำกัดว่าต้องเป็นชนชั้นสูง หรือมียศถาบรรดาศักดิ์เท่านั้น คนที่ยากจน หรือไม่ได้รับการศึกษา แต่หากรู้คุณค่าของความเป็นมนุษย์ เชื่อเรื่องบุญเรื่องบาป เชื่อในกฎแห่งกรรม เชื่อเรื่องโลกนี้โลกหน้า เป็นต้น ไม่มีความตระหนี่อยู่ในใจ ไม่ประมาทในชีวิต มุ่งหน้าทำความดีอย่างไม่ลดละ ก็ถือได้ว่าเป็นผู้มีปัญญาฉลาดในการสร้างกุศลธรรม เหมือนอย่างวิถีชีวิตของมหาทุคตะ ที่จะได้ศึกษากันต่อในตอนนี้

อันที่จริงแล้ว มหาทุคตะนั้นเคยเป็นเศรษฐีในภพชาติก่อนๆ แต่เพราะประมาทในชีวิต เรียกว่ารวยแล้วประมาท ไม่ให้ทาน ทำให้ในภพชาตินี้ต้องกลายเป็นคนยากจนอนาถา เป็นชนชั้นต่ำ อาศัยได้กัลยาณมิตรชักชวนให้ทำบุญ ทำให้เกิดกุศลจิต ประกอบกับมีปัญญาสามารถสอนตนเองได้ จึงโชคดีได้ทำบุญถูกหลักวิชชา ดังที่หลวงพ่อได้ ยกพุทธพจน์ขึ้นมากล่าวข้างต้น คือทั้งก่อนให้ ขณะให้ และหลังให้ มีจิตเลื่อมใส วัตถุทานของท่านนั้นบริสุทธิ์ ปฏิคาหก คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บริสุทธิ์ ผลบุญอันยิ่งใหญ่ไพศาลจึงบังเกิดขึ้น ในปัจจุบันทันตาเห็น

*ครั้งกˆอนได้กล่าวถึงตอนที่มหาทุคตะ มีโอกาสถวาย ภัตตาหารแด่ พระบรมศาสดา ซึ่งกว่าจะได้ทำบุญครั้งนี้ ต้องฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการ เมื่อเสร็จภัตกิจได้ตามไปส่งเสด็จที่พระวิหาร ส่วนพระอินทร์ก็เสด็จกลับสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ใน ขณะนั้น สิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่มีใครคาดฝันพลันบังเกิดขึ้น ฝนรัตนะ ๗ ประการ ตกลงมาเต็มบ้าน จนล้นออกมานอกบ้าน ภายในบ้านไม่มีที่ว่างเลย ภรรยาของมหาทุคตะต้องจูงลูกๆ ออกไปยืนอยู่ข้างนอก

ฝ่ายมหาทุคตะกลับจากวิหารเห็นเหตุอัศจรรย์เช่นนั้น บังเกิดมหาปีติ ขนลุกไปทั่วสรรพางค์ ปลื้มใจว่า ฝนรัตนะ ๗ ประการ ตกเพราะพุทธานุภาพอันไม่มีประมาณ รวมทั้งบุญญานุภาพที่ตัวได้ทำในวันนี้ จากนั้นเขารีบไปยังราชสำนัก พลางกราบทูลพระราชาว่า "บ้านของข้าพระองค์เต็มไปด้วยรัตนะ ๗ ประการ ขอพระองค์ทรงให้ราชบุรุษนำเกวียนไปขนทรัพย์นั้นมาเถิด พระเจ้าข้า"

พระราชาทรงอัศจรรย์ในทานที่มหาทุคตะถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้เกิดผลบุญทันตาเห็น ทรงส่งเกวียน ๑,๐๐๐ เล่ม ไปขนสมบัติมาเทลงที่พระลานหลวง กองทรัพย์ได้สูงประมาณเท่าต้นตาล พระราชารับสั่งให้ชาวเมืองประชุมกัน พลางตรัสถามว่า "ในเมืองนี้ มีใครมีทรัพย์มากถึงเพียงนี้บ้าง" ชาวเมืองทูลว่า "ไม่มี พระเจ้าข้า" พระราชาเห็นว่า สมบัติเหล่านี้ เป็นของมหาทุคตะที่ได้มาด้วยบุญ จึงทรงแต่งตั้งให้เป็นมหาเศรษฐีประจำเมือง

พระราชาได้ตรัสบอกสถานที่ที่จะสร้างบ้านใหม่ให้กับเศรษฐีคนใหม่ ซึ่งสถานที่ตรงนั้นเคยเป็นบ้านของเศรษฐีเก่าคนหนึ่ง ขณะที่เศรษฐีใหม่เข้าไปดูพื้นที่ และคนงานกำลังแผ้วถางพื้นที่ให้เรียบนั้น หม้อทรัพย์ได้ผุดแออัดยัดเยียดกันขึ้นมา สร้างความแตกตื่นและอัศจรรย์ใจให้กับคนงาน และท่านเศรษฐีใหม่เป็นอย่างยิ่ง พระราชารับสั่งว่า "หม้อทรัพย์เกิดเพราะบุญของเธอนั่นเอง เพราะฉะนั้นเธอจงเป็นเจ้าของขุมทรัพย์ เหล่านั้นเถิด"
เศรษฐีใหม่ปลูกบ้านหลังใหม่ที่ใหญ่โตกว่าเดิมหลายเท่า วิถีชีวิตใหม่ได้เริ่มขึ้น จากที่เคยยากจนอนาถาก็กลายมาเป็นมหาเศรษฐีในชั่วข้ามคืน แต่ด้วยความ ตระหนักในบุญว่า เป็นที่พึ่ง เป็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความสุข และความสำเร็จทุกอย่าง เขาจึงไม่ประมาทเหมือนภพชาติในอดีตอีก ได้ถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็น ประมุขตลอด ๗ วัน และตั้งใจมั่นว่า จะไม่ขอจนข้ามชาติอีกต่อไป ได้บำเพ็ญบุญถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์ รวมไปถึงคนยากจนอนาถา ที่มาขอพึ่งพาอาศัยจนตลอดชีวิต เมื่อละโลกไปแล้ว ได้บังเกิดในเทวโลก เสวยทิพยสมบัติสิ้นพุทธันดรหนึ่ง

ในสมัยพุทธกาล ท่านได้จุติจากสวรรค์ ถือกำเนิดในครรภ์ธิดาคนโตของตระกูลอุปัฏฐากของพระสารีบุตรเถระ ในกรุงสาวัตถี ทันทีที่หมู่ญาติรู้ว่า ธิดาคนโตตั้งครรภ์แล้ว ได้นำเครื่องบำรุงครรภ์มามอบเป็นบรรณาการมากมาย การแพ้ครรภ์ ของนางเป็นไปเพื่อบุญกุศล คือ อยากถวายทานแด่ภิกษุ ๕๐๐ รูป โดยมีท่านพระสารีบุตรเป็นประธาน ถวายภัตตาหารที่ปรุงด้วยปลาตะเพียน เมื่อภิกษุสงฆ์ฉันเสร็จ นางจึงค่อยรับประทานทีหลัง จากนั้นอาการแพ้ท้องจึงค่อยระงับไป ต่อมาในงานมงคลอื่นๆ เช่น วันคลอด วันโกนจุก วันนุ่งผ้าใหม่ เมื่อนางปรารภเหตุแล้ว ได้ถวายสังฆทานแด่ภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป ทุกครั้งไป

เมื่อเด็กคลอดออกมา มารดาของเด็กได้ขอร้องให้พระสารีบุตรเถระ ช่วยตั้งชื่อให้ พระเถระถามว่า "วันที่ทารกน้อยเกิดนั้น มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเป็นพิเศษบ้าง"
มารดาของเด็กตอบว่า "ท่านผู้เจริญ ตั้งแต่เด็กคนนี้ถือปฏิสนธิในครรภ์ของดิฉัน คนในบ้านนี้ ที่ปัญญาอ่อน หรือพูดไม่รู้เรื่อง ก็กลายเป็นคนฉลาด"
พระเถระจึงตั้งชื่อให้ว่า หนูน้อยบัณฑิต อีกทั้งมารดาของเด็กเชื่อว่า ลูกของนาง ต้องเป็นผู้มีบุญมาเกิดอย่างแน่นอน จึงตั้งใจว่า เมื่อโตขึ้น หากลูกชายอยากครองเรือน ก็จะไม่ขัดข้อง และหากปรารภอยากบวชก็จะอนุโมทนา หนูน้อยบัณฑิตจะได้เป็นมหาเศรษฐีประจำเมือง หรือจะเป็นอะไร ต้องติดตามในตอนต่อไป

เราจะเห็นว่า การถวายทานด้วยเจตนาอันแรงกล้า ด้วยปัญญาที่ผ่องแผ้ว ด้วยใจที่เบิกบานผ่องใส และได้ถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นเนื้อนาบุญอันเลิศ ทานที่ถวาย จะให้ผลทันตาเห็นเป็นที่น่าอัศจรรย์ ดังตัวอย่างข้างต้น แสดงว่าการทำบุญถูกเนื้อนาบุญ เป็นสิ่งสำคัญมาก แม้ปัจจุบันเราไม่มีโอกาสทำบุญกับพระพุทธเจ้า แต่พวกเราทั้งหลายก็ยังนับว่าโชคดี ที่มีภิกษุสงฆ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ เป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐ เป็นผู้ควรแก่ทักษิณาทานของเรา ดังนั้นในช่วงเข้าพรรษานี้ ให้หมั่นสั่งสมบุญกุศล ด้วยการให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา ทำกันให้เต็มที่ ให้เป็นพรรษาแห่งมหากุศล และเป็นพรรษาแห่งการบรรลุธรรมของพวกเราทุกๆ คน
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)

*มก. บัณฑิตสามเณร เล่ม ๔๑ หน้า ๓๒๙

ที่มา

http://buddha.dmc.tv/%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%99/mongkol02-24.html

No comments: