Sunday, April 8, 2007

เราเกิดมาทำไม (ตอนที่ 6)

เกิดมาเพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน

เมื่อพระพุทธเจ้าประกาศพระพุทธศาสนาในพรรษาแรกของการตรัสรู้ ได้มีผู้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์รวม 60 องค์ เมื่อออกพรรษาแล้ว พระพุทธเจ้าทรงส่งสาวกทั้ง 60 องค์นั้น ให้ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระองค์ตรัสว่า “เธอทั้งหลายจงเที่ยวจาริกไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงอย่าไปทางเดียวกัน พวกเธอจงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถพร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง แม้เราก็จะไปยังอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อแสดงธรรม”

งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด หมายถึง ศีล สมาธิ ปัญญา รวมเรียกว่าไตรสิกขา ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติสำคัญตามหลักพระพุทธศาสนา โดยมีเป้าหมายของการปฏิบัติธรรมคือ เพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว อัตตา ตัวตน เมื่อจิตใจบริสุทธิ์แล้ว ธรรมชาติของจิตที่มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ก็จะปรากฏขึ้น สำหรับจิตที่บริสุทธิ์แล้ว การดำเนินชีวิตเพื่อประโยชน์สุขของสังคม ก็เป็นไปเองโดยธรรมชาติ

สำหรับพระอรหันต์เมื่อหมดกิเลส มีจิตใจที่บริสุทธ์แล้วหน้าที่ในชีวิตทั้งหมดก็เพื่อประโยชน์และความสุขของมหาชน การแระกาศพระพุทธศาสนาจึงแสดงถึงหน้าที่ในชีวิต เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์ แม้มิได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ก็ตาม หน้าที่สำคัญประการหนึ่งคือ การใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์สุขแก่สังคม

หากเรายังไม่อยู่ในฐานะที่จะช่วยเหลือผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นกำลังทรัพย์ หรือช่วยด้วยแรงงานก็ไม่ต้องเดือดร้อนใจ ให้มีสติรู้ถึงหน้าที่ของตนว่า เราเป็นพ่อ แม่ เป็นลูก เป็นสามี ภรรยา เป็นเจ้านาย ลูกน้อง ฯลฯ มีหน้าที่อย่างไร ก็ให้ตั้งใจทำหน้าที่นั้นๆ ให้ดีที่สุด มีใจเมตตา กรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ ไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนผู้อื่นด้วยกาย วาจา ใจ ก็ถือว่าทำหน้าที่ คนดีของสังคมแล้ว ให้เข้าใจว่า เมื่อเราทำหน้าที่ของเราที่มีต่อบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตเราได้สมบูรณ์ ทั้งทางมโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม ด้วยใจที่มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ก็เท่ากับว่าเราได้มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาต่อสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะอยู่สถานที่ไหน เวลาใด

No comments: