ทางแห่งความสุข
ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนปรารถนา เรามักมีความรู้สึกว่าชีวิตเราจะมีความสุขเมื่อได้ในสิ่งนั้น สิ่งนี้สมความปรารถนาแต่ความจริงแล้ว ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็เปรียบเหมือนมีดคมๆ ถ้าเราขาดสติหรือมี จิตใจที่ถูกครอบงำด้วยกิเลส ตัณหาแล้ว คมมีดนี้ก็จะทำร้ายเรา และเป็นอันตรายแก่ผู้อื่นได้ ความมียศ ความมีศักดิ์ มีอำนาจมาก สำหรับผู้ที่มีจิตใจไม่เข้มแข็งแล้ว ก็หลงได้ง่าย เป็นโอกาสให้ทำความชั่วได้มากเหมือนกัน
สำหรับปุถุชน ความปรารถนาในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ความปรารถนาในอำนาจวาสนาก็เป็นเรื่องธรรมดา อย่างไรก็ตาม เราต้องมีสติปัญญา รู้จักตัวเอง รู้จักสันโดษ พอใจในสิ่งที่ได้ที่มี ที่เป็น ตามกำลังความสามารถของเรา หากต้องประสบกับความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ก็ให้มีสติปัญญาที่จะเข้าใจว่า โลกธรรมแปด คือได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา ทุกข์ สุข เป็นอนิจจัง ไม่แน่นอน ได้มาก็ไม่หลงเพลิดเพลิน เสียไปก็ไม่เป็นไรทำใจได้
พระพุทธเจ้าทรงสอนสาวกทั้งหลายว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เป็นอุปสรรค ต่อการปฏิบัติธรรม การได้ลาภ ได้ยศ สรรเสริญ สุข ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ ไม่ใช่ความสุขที่แท้
ผู้มีปัญญาจึงไม่แสวงหาความสุขในทางโลกที่ไม่ยั่งยืน ไม่แน่นอน แต่กลับมองเห็นโทษของโลกียสุข และแสวงหาความสุขที่แท้จริง ดังตัวอย่างในสมัยพระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระเตมีย์
พระเตมีย์ราชกุมาร เมื่อมีพระชนมายุได้ 1 เดือน ทรงระลึกชาติได้ ขณะบรรทมอยู่บนตักของพระบิดาซึ่งทรงกำลังพิพากษาความผิดของโจร 4 คน พระเจ้ากาสีทรงพิพากษาด้วยพระสุรเสียงดุดัน โจรคนแรกมีความผิดน้อย ทรงตัดสินให้เฆี่ยนด้วยหวาย โจรคนที่2 มีความผิดมากกว่าคนแรก ทรงตัดสินให้คุมขัง โจรคนที่3 มีความผิดมากกว่าคนที่2 ทรงตัดสินให้ประหารชีวิต โจรคนที่4 มีความผิดมากกว่าใครและทำทารุณกรรมไว้มาก ทรงตัดสินให้เสียบหลาวทั้งเป็นแล้วปักประจานไว้หน้าประตูเมือง พระกุมารระลึกชาติได้ว่า ชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เคยเกิดเป็นกษัตริย์ครองเมืองนี้อยู่ 20 ปีตัดสินประหารชีวิตของผู้คนมาไม่น้อย ตายแล้วบาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดในนรกนานถึง 80,000 ปี พ้นจากนรก บุญจึงส่งผลให้มาเกิดในสรรค์ชั้นดาวดึงส์ จากนั้นจึงลงมาเกิดเป็นมนุษย์ในราชตระกูลเดิมอีกครั้งหนึ่ง
พระราชกุมารคิดได้ว่าหากเป็นฆราวาสต่อไปก็ต้องทำบาปอย่างเก่าอีก เพราะตำแหน่งหน้าที่บังคับให้ทำ แล้วผลของบาปก็จะส่งให้ตกนรกอีก พระองค์ระลึกได้ว่าไม่มีทุกข์ทรมานใดจะร้ายกว่าทุกข์ทรมานในนรก จึงใคร่ครวญหาทางพ้นไปจากตำแหน่งกษัตริย์นับแต่เวลานั้น
เมื่อพระเตมีย์กุมารตัดสินพระทัยว่า จะไม่เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์อีก จึงทรงใช้วิธีแสร้งทำเป็นง่อยเปลี้ย หูหนวก เป็นใบ้ไม่พูดจากับใคร แม้จะถูกทดสอบต่างๆ ก็อดกลั้นไว้ ไม่ยอมแสดงอาการพิรุธให้ปรากฏ พระราชาปรึกษาพวกพราหมณ์ ก็ได้รับคำแนะนำให้นำราชกุมารไปฝังเสีย พระราชมารดาทรงคัดค้านไม่สำเร็จ ก็ทูลขอให้พระราชกุมารครองราชย์สัก 7 วัน แต่พระราชกุมารก็ไม่ยอมพูด ต่อเมื่อ 7 วันแล้ว สารถีนำราชกุมารขึ้นสู่รถเพื่อจะฝังตามรับสั่งพระราชา ขณะที่นายสารถีขุดหลุดอยู่พระราชกุมารก็เสด็จลงจากรถเดินไปหานายสารถีและตรัสแจ้งความจริงให้ทราบว่า มีพระประสงค์จะออกบวชอยู่ในป่าตามลำพัง นายสารถีกราบทูลว่า อยู่ในป่าอาจมีอันตรายได้ จึงขอให้ราชกุมารเสด็จกลับไปหาพระราชบิดา พระราชมารดา พระราชกุมารตรัสตอบว่า “ไม่มีอันตรายหรอก คนที่บวชแล้วย่อมปลอดภัย ไม่มีใครทำอันตรายหรอก คนที่บวชแล้วย่อมเสียสละทุกอย่าง ไม่แสวงหาผลประโยชน์ เมื่อไม่แสวงหาประโยชน์ก็ไม่มีผลกระทบกระทั่ง และก็ไม่มีศัตรูที่จะมาทำร้าย”
เมื่อแน่ใจว่าพระราชกุมารไม่เสด็จกลับแน่และไม่ทรงห่วงใยราชสมบัติเลยแม้แต่น้อย นายสารถีเกิดศรัทธาและขอออกบวชด้วย ราชกุมารจึงตรัสให้นำรถกลับไปคืนก่อน สารถีนำความกลับไปเล่าถวายพระราชบิดา พระราชมารดาให้ทรงทราบ
ทั้งสองพระองค์พร้อมด้วยอำมาตย์ราชบริพาร จึงได้เสด็จออกไปหา เชิญให้พระราชกุมารเสด็จกลับไปครองราชสมบัติ แต่พระกุมารกลับถวายหลักธรรมให้ยินดีในเนกขัมมะ คือการออกจากกาม พระราชบิดา พระราชมารดา พร้อมด้วยบริวารทรงเลื่อมใสในคำสอน ก็เสด็จออกผนวชและบวชตามและได้มีพระราชาอื่นอีกเป็นอันมากสดับพระราโชวาทขอผนวชตาม
No comments:
Post a Comment