
ไม้พุทธประวัติ เป็นหนังสือที่เรียบเรียงโดยศาสตราจารย์ ดร.พเยาว์ เหมือนวงษ์ญาติ ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤกษอนุกรมวิธานพืชด้านสมุนไพร ของโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช
อันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยเจตนาจะให้เป็นเอกสารอ้างอิงสนับสนุนการดำเนินงาน
" สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน" ด้วยเห็นว่าเอกสารในการสืบค้นและจำแนกพรรณไม้ของเรา
ยังมีอยู่น้อย อีกทั้งจากที่ได้ติดตามเยี่ยมเยียนโรงเรียนสมาชิกในพื้นที่นอกกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดส่วนใหญ่มีพื้นที่มาก และมักมีต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ให้ความร่มรื่น บ้างก็มีศาลาหรือซุ้มไม้ให้เด็กนักเรียนใช้เป็นที่พักผ่อน หรือทำกิจกรรมด้านต่างๆ รวมทั้ง
เป็นที่อบรมทางศาสนา ฟังเทศน์ ปฎิบัติธรรม ฝึกสมาธิ ซึ่งทางโครงการฯ ได้แนะนำให้โรงเรียนจัดพรรณไม้ในพุทธประวัติมาปลูกเสริมเพื่อให้เด็กๆได้รู้จัก เป็นการให้ความรู้และเป็นสื่อสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช ซึ่งเป็นเป้า
ประสงค์ของโครงการฯ
ที่มา http://www.rspg.thaigov.net
| สาละ |
ชื่อพื้นเมือง | สาละ (กรุงเทพฯ) |
ชื่อบาลี | สาล 2,3,4 (สา-ละ), อสสกณณ (อัส-สะ-กัน-นหะ), อสสกณณโณ (อัส-สะ-กัน-โน), สาโล1 (สา-โล) |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Shorea robusta Roxb. |
ชื่อสามัญ | Sal, Shal, Sakhuwan, Sal Tree, Sal of India, Religiosa |
ชื่อวงศ์ | Dipterocarpaceae |
ถิ่นกำเนิด | ทางเหนือของประเทศอินเดีย ซึ่งปัจจุบันคือประเทศ เนปาล |
สภาพนิเวศน์ | ชอบขึ้นในที่ชุ่มชื้น |
การขยายพันธุ์ | เพาะเมล็ดได้ผลดี ถ้าใช้ทาบกิ่ง ตอนกิ่ง ติดตา จะได้ผลน้อยมาก |
ประโยชน์ | เนื้อไม้ใช้เป็นวัสดุก่อสร้าง ใช้ทำธูป ทางยา ยางต้นใช้เป็นยาฝาดสมาน |
สาละ เป็นคำสันสกฤต อินเดียเรียกต้นสาละว่า "Sal" เป็นไม้ที่มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าโดยตรง ทั้งตอนประสูติ
ตรัสรู้ และปรินิพพาน มีความสำคัญในพุทธประวัติดังนี้
ตอนพระพุทธเจ้าประสูติ
ก่อนพุทธศักราช 80 ปี พระพุทธมารดาคือพระนางสิริมหามายาทรงครรภ์
์ใกล้ครบกำหนดพระสูติการ จึงเสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ เพื่อไปมีพระสูติ
การที่กรุงเทวทหะ อันเป็นเมืองต้นตระกูลของพระนาง ตามธรรมเนียม
ประเพณีพราหมณ์ เมื่อขบวนเสด็จมาถึงครึ่งทางระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับ
กรุงเทวทหะ ณ ที่ตรงนั้นเป็นสวนมีชื่อว่า "สวนลุมพินีวัน" เป็นสวนป่าไม้
"สาละ" พระนางได้ทรงหยุดพักอิริยาบท (ปัจจุบันคือตำบล "รุมมินเด"
แขวงเปชวาร์ ประเทศเนปาล) พระนางประทับยืนชูพระหัตถ์ขึ้นเหนี่ยว
กิ่งสาละ และขณะนั้นเองก็รู้สึกประชวรพระครรภ์ และได้ประสูติ
พระสิทธัตถะกุมาร ซึ่งตรงกับวันศุกร์เพ็ญเดือน 6 ปีจอ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี คำว่าสิทธัตถะแปลว่า "สมปรารถนา"
อีกตอนหนึ่งก่อนที่เจ้าชายสิทธัตถะจะตรัสรู้
เมื่อพระองค์เสวยข้าวมธุปายาสที่บรรจะอยู่ในถาดทองคำของนางสุชาดาแล้ว
ได้ทรงอธิษฐานว่าถ้าพระองค์ได้สำเร็จพระโพธิญาณขอให้การลอยถาดทองคำนี้
สามารถทวนกระแสน้ำแห่งแม่น้ำเนรัญชลาได้ เมื่อทรงอธิษฐานแล้วได้ทรงลอยถาด ปรากฎว่าถาดทองคำนั้นได้ลอยทวนกระแสน้ำ จากนั้นพระองค์เสด็จไปประทับยังควง
ไม้สาละ ตลอดเวลากลางวัน ครั้นเวลาเย็นก็เสด็จไปยังต้นพระศรีมหาโพธิ
ประทับนั่งบนบัลลังก์ภายใต้ต้นโพธิ และได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในเวลารุ่งอรุณ ณ วันเพ็ญเดือน 6
ตอนสุดท้ายที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน
เมื่อพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์สาวก เสด็จถึงเขตเมืองกุสินาราของมัลละกษัตริย์ ใกล้ฝั่งแม่น้ำหิรัญวดี พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยมาก จึงมีรับสั่งให้พระอานนท์ ซึ่งเป็นองค์อุปัฏฐากปูลาดพระที่บรรทม โดยหันพระเศียรไปทางทิศเหนือ ระหว่างต้นสาละ
ทั้งคู่ แล้วพระองค์ก็ทรงสำเร็จสีหไสยาสน์ โดยพระปรัศว์เบื้องขวา (นอนตะแคงขวาพระบาทซ้ายซ้อนทับพระบาทขวา) และแล้วเสด็จเข้าสู่พระปรินิพพาน
![]() | ![]() |
สาละ เป็นพืชพวกเดียวกันกับพะยอม เต็ง รัง อยู่ในสกุล "Shorea "
ในวงศ์ " Diptercaroaceae "
ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ไม่ผลัดใบ ลำต้น เปลาตรง
เปลือกสีเทาแตกเป็นร่อง เป็นสะเก็ดทั่วไป เรือนยอดเป็นพุ่มทึบ ปลายกิ่งมักจะลู่ลง
กิ่งอ่อนเกลี้ยง ใบ เดี่ยว ดกหนาทึบ รูปไข่กว้าง โคนใบเว้าเข้า ปลายใบเป็นติ่งแหลมสั้นๆ
ผิวใบเป็นมัน ขอบใบเป็นคลื่น ดอก ออกเป็นช่อสั้นๆ ตามปลายกิ่งและง่ามใบ กลีบเลี้ยง
และกลีบดอกมีอย่างละ 5 กลีบ กลีบดอกสีขาวอมเหลือง มีกลิ่นหอม ผล เป็นผลชนิดแห้งแข็ง มีปีก 5 ปี ปีกยาว 3 ปีก ปีสั้น 2 ปีก บน แต่ละปีกมีเส้นตามความยาวของปีก 10 - 15 เส้น
สาละ Shorea robusta Roxb. เรียกกันว่า "สาละอินเดีย" เพราะยังมีอีกต้นหนึ่ง เรียกว่า"สาละลังกา" หรือ "ต้นลูกปืนใหญ่" (Cannonball Tree) เป็นพืชในวงศ์จิก วงศ์ Lecythidaceae (ปัจจุบันจิกอยู่ในวงศ์ Barringtoniaceae) มืชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Couroupita guianensis Aubl.
![]() | ![]() |
สาละลังกา
(Couroupita guianensis Aubl.)
ลักษณะของพืชต้นนี้ เป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ผลัดใบ เปลือกสีน้ำตาล ใบ เดี่ยว ออกเวียนสลับตามปลายกิ่ง รูปใบหอกกลับ ปลายแหลม โคนสอบ มน ขอบใบจักตื้นๆ ดอก ช่อใหญ่ ยาว ออกตามโคนต้น ดอก สีชมพูอมเหลืองและแดง กลิ่นหอมแรง กลีบดอก 4-6 กลีบ แข็ง หักง่าย เกสรตัวผู้มีจำนวนมาก โคนเชื่อมติดกันเป็นรูปโค้ง ผล สด รูปกลม ผิวผลสีน้ำตาล เส้นผ่าศูนย์กลางผลประมาณ 10-20 เซนติเมตร ภายในมีเมล็ดหลายเมล็ด
No comments:
Post a Comment